PAPER SIZE ขนาดกระดาษ

การออกแบบงานควรคำนึงถึงขนาดกระดาษ ที่เราจะนำมาใช้ด้วย ไม่ใช่ว่าออกแบบตามใจฉัน ขนาดงานเมื่อเอามาพิมพ์ลงกระดาษจริงแล้ว ดันเหลือพื้นที่ที่ต้องตัดทิ้งไปไม่เกิดประโยชน์ เสียดายเงินครับ หลักที่ควรคำนึงในการออกแบบงานสิ่งพิมพ์อย่างหนึ่งก็คือ การใช้พื้นที่ของกระดาษให้คุ้มค่า วิธีการคำนวนพื้นที่การใช้งานกระดาษให้คุ้มค่า เดี๋ยวจะมาบอกให้ทราบกันในบทความเรื่อง การวาง Layout งาน แต่ตอนนี้เรามาดูเรื่องขนาดกันก่อนดีกว่า

นาดกระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์ จะเป็นขนาดที่ตัดจากกระดาษแผ่นใหญ่ โดยขอแบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ คือ

1. ขนาดกระดาษแบบ "ตัด"
จะเรียกตามชิ้นส่วนที่ตัดออกมา ตัด 2, ตัด 4, ตัดโน่นตัดนี่ ตามขนาดดังต่อไปนี้

ตัด 2 = (30 ¾ ×21 3/8 inch)
ตัด 2 พิเศษ = (31×17 inch) หรือ (31×25 ½ inch)
ตัด 3 = (31×14 ¼ inch)
ตัด 4 = (21 ½ ×15 ½ inch)
ตัด 5 = (12 ½ ×17 ½ inch), (13 ½ ×17 ½ inch), (11×17 ½ inch), (18×11 inch)
ตัด 6 = (14 ¼ ×15 ½ inch)
ตัด 7 = (9×16 ¾ inch)
ตัด 8 = (10 ¾ ×15 ½ inch)
ตัด 9 = (10 ¼ ×14 ¼ inch)
ตัด 10 = (8 ½ ×15 ½ inch)
ตัด 11 = (8 ½ ×13 ½ inch)
ตัด 13 = (8 ½ ×11 inch)
ตัด 14 = (6 1/8 ×15 ½ inch)
ตัด 15 = (10 ¼ ×8 ½ inch)
ตัด 16 = (7 ¾ ×10 ¾ inch)
ตัด 18 = (7 1/8×10 ¼ inch)
ตัด 20 = (8 1/8×7 ¾ inch), (6 1/8×10 ¾ inch)
ตัด 21 = (6 1/8×10 ¼ inch)
ตัด 22 = (3 ¼ ×15 ½ inch), (13 ½ ×14 ½ inch)
ตัด 24 = (7 1/8×7 ¾ inch)
ตัด 25 = (6 1/8×8 ½ inch)
ตัด 26 = (4 ¼ ×11 inch)
ตัด 28 = (6 1/8×7 ¾ inch), (10 ¾ ×4 ¼ inch)
ตัด 30 = (8 ½ ×5 ½ inch), (10 ¼ ×4 ¼ inch)
ตัด 32 = (7 ¾ ×5 ¼ inch)
ตัด 35 = (4 ¼ ×8 ½ inch)
ตัด 36 = (7 1/8 ×5 ¼ inch)

เห็นมั๊ย ตัดกันจนอ้วกกันไปข้างนึง

2. ขนาดกระดาษตระกูล "A"

ที่เรารู้จักกันดีในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ A4 คราวนี้ลองไปดูกันว่าเค้าว่าไงมั่งเกี่ยวกับกระดาษพวกนี้

ISO 216 เป็นข้อกำหนดมาตรฐานสากลของ ISO ว่าด้วยขนาดกระดาษ ที่ใช้กันหลายประเทศในปัจจุบัน ซึ่งรวมไปถึงขนาดกระดาษที่คนรู้จักและนิยมใช้กันมากที่สุดคือ A4 มาตรฐานสากลนี้มีพื้นฐานมาจากสถาบันเยอรมันเพื่อการมาตรฐานแห่งประเทศเยอรมนี มาตรฐานรหัส 476 (DIN 476) ในปี พ.ศ. 2535

รูปแบบกระดาษชนิด A
รูปแบบกระดาษชนิด A มีอัตราส่วนสัมบูรณ์ 1 : √2 ซึ่งทอนทศนิยมให้ใกล้เคียงที่สุดในหน่วยมิลลิเมตร เริ่มตั้งแต่ A0 กำหนดไว้ว่ามีขนาด 1 ารางเมตร ซึ่งทำให้เกิดขนาดกระดาษขนาดอื่นตามมา (A1, A2, A3, ฯลฯ) ซึ่งขนาดที่นิยมใช้มากที่สุดคือ A4 (210 × 297 มม.)


ขนาดต่าง ๆ ใน
ISO 216
(มม × มม)
ชนิด A
A0 841 × 1189
A1 594 × 841
A2 420 × 594
A3 297 × 420
A4 210 × 297
A5 148 × 210
A6 105 × 148
A7 74 × 105
A8 52 × 74
A9 37 × 52
A10 26 × 37

ชนิด B
B0 1000 × 1414
B1 707 × 1000
B2 500 × 707
B3 353 × 500
B4 250 × 353
B5 176 × 250
B6 125 × 176
B7 88 × 125
B8 62 × 88
B9 44 × 62
B10 31 × 44

แถมให้อีกหน่อย

ขนาดต่าง ๆ ใน
ISO 269
(มม × มม)
ชนิด C
C0 917 × 1297
C1 648 × 917
C2 458 × 648
C3 324 × 458
C4 229 × 324
C5 162 × 229
C6 114 × 162
C7/6 81 × 162
C7 81 × 114
C8 57 × 81
C9 40 × 57
C10 28 × 40
DL 110 × 220

ความแตกต่างระหว่างชนิด A, B, C
ขนาดกระดาษตามมาตรฐาน ISO/DIN ในขนาด มิลลิเมตร และ นิ้ว









ขนาดของเครื่องพิมพ์ offset

ครื่องพิมพ์ออฟเซ็ท โดยทั่วไปมีหลักการเดียวกัน คือ ประกอบด้วยโมแม่พิมพ์ โมยางและโมพิมพ์ ที่โมแม่พิมพ์จะมีระบบการให้น้ำและต่อเพลทอยู่ การถ่ายทอดภาพ เกิดจากโมแม่พิมพ์ได้รับหมึก แล้วถ่ายทอดภาพให้โมยาง จากนั้นโมยางจึงถ่ายทอดภาพให้กับกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ ในการถ่ายทอดภาพจากโมหนึ่งไปยังโมหนึ่งจะต้องใช้แรงกดน้อยที่สุด

ออฟเซ็ทเล็ก
เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก พิมพ์กระดาษได้ขนาด 10 * 15 นิ้ว ถึงขนาด 13 * 17 นิ้วโดยประมาณ เครื่องชนิดนี้มีอุปกรณ์ประกอบในการทำงานน้อยไม่ยุ่งยาก ใช้ง่าย เหมาะสำหรับงานพิมพ์ขนาดเล็ก เช่น หัวจดหมาย หนังสือเวียนแผ่น โฆษณาเผยแพร่เล็ก ๆ ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์สอดสี หรือ สี่สี เพราระบบฉากยังไม่มีความเที่ยงตรงดีพอ



ขนาดตัดสี่
เป็นเครื่องพิมพ์ที่ขนาดใหญ่กว่าออฟเซ็ดเล็ก สามารถพิมพ์ได้ขนาดประมาณ 15 * 21 นิ้ว หรือ 18 * 25 นิ้ว มีอุปกรณืช่วยในการพิมพ์มากขึ้นและระบบน้ำดีขึ้นกว่า สามารถพิมพ์งานได้เกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสีเดียวหรือหลายสีก็ตาม เหมาะสำหรับพิมพ์หนังสือยกเป็นเล่ม ภาพโปสเตอร์ขนาดกลาง งานพิมพ์ทั่วไป และงานพิมพ์ที่มีจำนวนพิมพ์ไม่มากนัก เช่น ครั้งละไม่เกิน 5,000 ชุด ถ้าเป็นการพิมพ์จำนวนมาก ๆ แล้ว จะเป็นการเสียเวลา เพราะมีขนาดเล็ก ไม่สามารถลงพิมพ์ได้คราวละหลาย ๆ แบบได้ เครื่องพิพม์ขนาดนี้นิยมใช้ทั่วไปในท้องตลาด ถ้าพิมพ์หนังสือยก จะพิมพ์ขนาด 8 หน้ายกได้ ทั้งนี้แล้วแต่ขนาดของเครื่องพิพม์ การที่เรียกเครื่องพิมพ์ขนาดตัดสี่นั้น เพราะใช้กระดาษขนาด 15.5 * 21.5 นิ้ว ที่เกิดจากการแบ่งกระดาษขนาดใหญ่ 31 * 43 นิ้ว เป็นสี่ส่วนได้พอดี ซึ่งเมื่อนำกระดาษขนาดนี้ไปพิมพ์และพับเป็นเล่มแล้ว จะได้หนังสือที่มีขนาดเล็กเรียกว่า 8 หน้ายก



ขนาดตัดสอง
เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดที่ใหญ่กว่าขนาดตัดสี่เกือบเท่าตัว กล่าวคือ สามารถพิมพ์ได้ 25 * 36 นิ้ว หรือบางแม่พิมพ์ สามารถพิมพ์ขนาด 28 * 40 นิ้วได้ เหมาะสำหรับใช้พิพม์งานทางการค้าทั่วไป เช่น หนังสือยก โปสเตอร์ขนาดใหญ่ แผ่นโฆษณา และงานพิมพ์ทุกชนิด เนื่องสามารถพิมพ์ได้ขนาดใหญ่ จึงสามารถลงแบบที่จะพิมพ์ได้คราวละหลาย ๆ แบบ และสามารถตัดซอยเป็นแบบที่ต้องการได้ภายหลัง ทำให้ประหยัดเวลาในการพิมพ์ เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดที่นิยมใช้กันทั่วไป มีอุปกรณ์ประกอบในการช่วยพิมพ์ดีฉากพิมพ์แม่นยำ และความเร็วสูง



ขนาดตัดหนึ่ง
เป็นเครื่องพิมพ์ ชนิดป้อนแผ่นขนาดใหญ่ที่สามารถ พิมพ์กระดาษ 30 * 40 นิ้ว หรือโตกว่าได้ มีอุปกรณ์ช่วยในการพิมพ์มากขึ้น ส่วนมากใช้ในการพิมพ์หนังสือ โปสเตอร์ และบรรจุภัณฑ์ ที่มีปริมาณการพิมพ์มาก ๆ มีใช้น้อยกว่าขนาดสี่ตัด และขนาดสองตัด ในปัจจุบันจัดได้ว่าระบบการพิมพ์ ออฟเซ็ต เป็นระบบงานพิมพ์ที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้คุณภาพของงานพิมพ์ที่สูง และราคาไม่สูงมาก เหมาะสำหรับใช้พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ทั้งหนังสือที่ต้องการสีเดียวและสี่สี

หลักในการพิมพ์ offset (Offset Printing)

ลักของการพิมพ์ offset คือ น้ำกับน้ำมันจะไม่รวมตัวกันซึ่งบนแผ่นแม่พิมพ์จะมีทั้งสอง ส่วนคือ บริเวณที่ไม่มีภาพก็จะเป็นที่รับน้ำและในส่วนที่มีภาพก็จะเป็นสารเคมีที่เป็นพวกเดียวกับหมึก

หน้าที่ของบริเวณทั้งสองของแม่พิมพ์
1. ส่วนที่ไร้ภาพและรับน้ำ จะทำหน้าที่ในการรับน้ำหรือความชื้น และผลักดันหมึกให้ออกนอกบริเวณ
2. ส่วนที่เป็นภาพจะทำหน้าที่รับหมึกและผลักดันน้ำมันออกนอกบริเวณของตน ซึ่งในแต่ละส่วนจะทำหน้าที่ ๆ แตกต่างกัน



หลักในการถ่ายทอดภาพของเครื่องพิมพ์ออฟเซต
ออฟเซตเป็นระบบการพิมพ์พื้นฐานทั่วไปในระบบ 3 โม คือ
1. โมแม่พิมพ์
2. โมผ้ายาง
3. โมแรงกด
พร้อมด้วยระบบทำความชื้นและระบบการจ่ายหมึกให้แก่แม่พิมพ์ เมื่อมีการเคลื่อนไหว แม่พิมพ์จะหมุนไปรับน้ำ หรือ ความชื้น แล้วจึงหมุนไปรับน้ำ แล้วจึงไปรับหมึก เมื่อแม่พิมพ์รับหมึกในบริเวณภาพ แล้วจะหมุนลงไปถ่ายโอนไปให้โมผ้ายาง แล้วจึงถ่ายลงวัสดุพิมพ์ โดยมีโมกดพิมพ์รองรับอยู่ เป็นระบบการพิมพ์ทางอ้อม

ประโยชน์ของการพิมพ์ทางอ้อม
1. ในการพิมพ์ภาพลงสู่ผ้ายาง ผิวของผ้ายางมีความอ่อนนุ่ม จึงสามารถแนบกระชับกับผิวของของกระดาษที่เป็นแอ่งและขรุขระได้ดี
2. ผ้ายางจะไม่ทำให้ตัวของแม่พิมพ์ชำรุด เหมือนกับการพิมพ์ทางตรง
3. สะดวกในการตรวจสอบความถูกต้องของภาพ และข้อความบนแม่พิมพ์เพราะเป็นตัวตรง ไม่ใช่ตัวกลับอย่าง เลตเตอร์เพลส ซึ่งตรวจสอบได้ยาก