Showing posts with label Kamin. Show all posts
Showing posts with label Kamin. Show all posts

Facebook Chat ไม่โชว์สถานะออนไลน์ ไฟเขียว

ไม่กี่วันมานี้ ไฟเขียวบอกสถานะ Online ของ Facebook Chat มันไม่โชว์ขึ้นมา ตอนแรกก็นึกว่าเป็นที่เครื่องเรา แต่ลองถามๆ ดูเพ่ือนคนอื่นก็มีที่เป็นบ้างเหมือนกัน จริงๆ มันเกิดจากระบบของทาง Facebook ครับ วิธีแก้ไขให้ไฟเขียว สถานะออนไลน์กลับมาก็คือการไปตั้งเปิดใช้งาน https ดังนี้ครับ

วิธีตั้งค่า https

1.Login เข้าใช้งาน Facebook โดยปกติเลยครับ
2.เข้าไปที่ account settings (ตั้งค่าบัญชีผู้ใช้)
3.เลือกเมนู security (ความปลอดภัย)
4.คลิกปุ่ม Edit (แก้ไข) ข้างหลัง secure browsing (เรียกดูแบบปลอดภัย)
5.ติ๊กเลือก Browse Facebook on a secure connection (https) when possible
6.จากนั้นกดปุ่ม save changes (บันทึกการเปลี่ยนแปลง)
7.สถานะ Facebook chat ก็กลับมาปกติ

HTTPS คืออะไร
https ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol over Secure Socket Layer หรือ http over ssl คือ โปรโตคอลที่ระบุถึงการเชื่อมต่อแบบ Secure http โปรโตคอล https สร้างเพื่อความปลอดภัย
ในการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตข้อมูลที่ทำ การส่งได้ถูกเข้ารหัสเอาไว้ โดยใช้ Asymmetric Algorithm ซึ่งถ้าถูกดักจับได้ก็ไม่สามารถที่จะอ่านข้อมูลนั้นได้รู้เรื่อง โดยข้อมูลนั้นจะสามารถอ่านได้เข้าใจเฉพาะClient กับเครื่อง Server เท่านั้น นิยมใช้กับเว็บไซต์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น เว็บไซต์ของธนาคาร ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น

Windows 7 เกือบเจ๊งแล้วมั๊ยล่ะ


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้ประสบเหตุปวดตับอยู่ครึ่งค่อนวัน สาเหตุเพราะคอมที่ใช้งานอยู่ เกิดเอ๋อขึ้นมาซะงั้น ก็หาวิธีแก้ไขจนกลับมาใช้การได้ เลยเอามาเล่าให้ฟังเผื่อใครที่เจอปัญหาลักษณะอาการคล้ายๆ กัน จะลองเอาไปแก้ไขดู

เรื่องของเรื่องก็คือ คอมพิวเตอร์เจ้ากรรมอยู่ดีๆ ก็ค้างอยู่ที่หน้า Welcome รอนานมาก รอแล้วรออีกก็ยังไม่เข้าหน้าจอ Desktop อ้อ ลืมบอกไปว่าผมใช้ Windows 7 64bit เนื่องจาก โปรแกรมชุด Adobe CS5 อย่าง After Effects และ Premiere ต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่เป็น 64bit ถึงจะติดตั้งโปรแกรมลงไปได้ เข้าเรื่องต่อนะครับ พอมันค้างอยู่นานเข้า ผมเลยกดรีเซ็ตเครื่อง แล้วลองเข้า Safe mode ปรากฏว่าเข้าได้ไม่มีปัญหา เครื่องก็ไม่น่าโดนไวรัส เพราะไม่ได้เข้าเว็บแปลกประหลาดหรือไปโหลดโปรแกรมแปลกๆ มาลง นึกไปนึกมา ได้ข้อสันนิษฐานมาอีกข้อคือ Windows เน่า โดยส่วนใหญ่ที่เกิดอาการเข้าหน้า Desktop ไม่ได้ จะมาจากไฟล์บางตัวเสียหาย แล้วจะรู้ได้ไงว่าไฟล์ตัวไหนมันเจ๊งล่ะทีนี้

เดชะบุญครับพี่น้อง ตอนลง Win7 ใหม่ๆ ได้ลงโปรแกรม Windows 7 manager ไว้ด้วย ซึ่งเป็นโปรแกรมใช้สำหรับปรับแต่ง ซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบปฏิบัติการ Windows 7 ก็ลองให้มันซ่ค้นหาและซ่อมไฟล์ดู ช่วงเวลาที่รอก็นึกไปถึงว่าต้องลง Windows ใหม่ล่ะมั๊ง ถึงจะ Ghost เอาไว้แล้วก็เถอะ แต่โปรแกรมบางตัวก็ต้องมาลงใหม่ ไหนจะต้อง Backup ข้อมูลอีก ยาวแน่ๆ เลยงานนี้ ผ่านไป 30 นาที โปรแกรมแสกนเสร็จ ก็มาลุ้นกันอีกที ปรากฏว่าคราวนี้เข้าได้ไม่มีปัญหา แต่ระบบที่ Overclock เอาไว้ หายเกลี้ยง ต้องมาตั้งค่าใหม่ใน BIOS

ใครที่ใช้ Windows 7 อยู่ แต่ละคนก็เจอปัญหาต่างๆ กันไปครับ แต่รู้สึกว่ามันรวนๆ แปลกๆ เหมือนคนไม่สมประกอบยังไงไม่รู้ ผมลงใหม่มาประมาณ 3 รอบแล้ว แต่ละครั้งก็มีเหตุปัญหาไม่ซ้ำกันเลย แต่ไอ้ที่เจอบ่อยๆ แล้วเครื่องรวนนี่จะเป็นเพราะ ไฟกระตุก ไฟดับ Shutdown ไม่ถูกวิธี (อย่างเช่น กด Power ปิดเครื่อง)

ยังไงซะ กราฟิกดีไซน์เนอร์ อยู่กับคอมพิวเตอร์เกือบตลอดวัน ควรมีความรู้ในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องมือหากินของเรา ให้ใช้งานได้เป็นปกติสุข ไม่ใช่ว่าเกิดปัญหาทีต้องให้ช่างมาดูซะทุกครั้ง มันต้องช่วยตัวเองบ้าง งานจะได้เดินอย่างราบรื่น เนาะ

เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ขณะกำลังหาข้อมูลใน google อยู่ บังเอิญไปโผล่เว็บนี้เข้า www.wix.com เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาบอกต่อ 

เว็บนี้เป็นเว็บที่ให้เราสร้างเว็บไซต์ Flash ฟรีได้เลย ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือ และ Template สำเร็จรูปก็มีมาให้ค่อนข้างครบครัน ใช้งานและทำความเข้าใจได้ง่าย แต่เว็บฟรีนี่ชื่อโดเมนจะเป็นชื่อของ Wix แล้วตามด้วยชื่อเรา แต่ถ้าเราอยากได้เว็บไซต์ที่ชื่อเป็นของเราเอง และปรับแต่งได้เต็มที่ เขาก็มีบริการตรงส่วนนี้ให้ครับ ตรง eCommerce นี่น่าสนใจครับ มีระบบฐานข้อมูลมาให้เลยด้วย แต่ไม่ฟรีนะ ว่าแล้วก็ไปลองกันเล่นกันดูก่อน ใช้ทำเป็นเว็บ Portfolio เก็บผลงานของตัวเอง หรือจะไว้เป็นที่เก็บอัลบัมรูปสวยๆ ก็ยังได้

ก่อนจบขอบอกไว้อีกอย่างครับว่า ตอนนี้ยังไม่รองรับภาษาไทยครับ - -"


รู้ทันคนขายคอมพิวเตอร์








การซื้อคอมพิวเตอร์จากแบรนด์ต่างๆ หากเทียบราคาดูแล้วถือว่าสูงกว่าปกติครับ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่นำมาประกอบ อย่าหลงระเริงกับ Brochure ที่เขาแจกครับ ถึงจะเป็นโปรโมชั่น แต่ราคานั้นก็ยังแพงไปอยู่ดี เป็นค่าลิขสิทธิ์ ค่าบริการ ค่าประกัน ฯลฯ รวมๆ อยู่ในนั้น ใครที่คิดจะซื้อของแบรนด์พวกนี้พอใจก็ซื้อครับ ไม่ได้ห้าม อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการจ่ายประกันใจสำหรับ เพื่อรองรับปัญหาในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นละกัน แต่สำหรับหลายคนแล้ว ส่วนต่างตรงนั้นมันก็สูงไปครับ ดังนั้น คอมพิวเตอร์ประกอบเอง จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า


แล้วเราจะไปหาซื้อที่ไหนได้ล่ะ ใครที่อยู่กรุงเทพ แน่นอนครับ ไปที่พันธุ์ทิพย์เลย แต่ก่อนไปก็ต้องมี Spec อุปกรณ์ที่เราจะซื้อเสียก่อน แนะนำให้ไปถามที่นี่ บอร์ด overclockzone ห้องจัดสเป็ค ได้เลย พี่ๆ น้องๆ ในนั้นเขาใจดีครับ ช่วยจัดรายการอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ให้ โดยเราตั้งกระทู้ให้ข้อมูลไว้ว่า มีงบเท่าไหร่ ใช้คอมฯไว้ทำอะไรบ้าง เล่นเกม ดูหนัง รวมจอด้วยหรือเปล่า หรือว่าเอาแต่ Case ก็ให้รายละเอียดไว้ให้ชัดเจนครับ เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาตอบให้เอง แล้วลองเทียบดูว่าแบบไหนถูกใจเรา ก็นำรายการนั้นไปพันธุ์ทิพย์ จะมีร้านขายอุปกรณ์อยู่หลายร้าน ถ้าไม่รู้จะเข้าร้านไหน ก็เล็งร้านที่ใหญ่และมีคนเยอะไว้ก่อนก็ได้ครับ หรือจะถามในบอร์ดให้เขาแนะนำเอาก็ได้ เมื่อเราถือรายการเข้าไปที่ร้าน ทางร้านก็จะจัดอุปกรณ์มาให้เราตามนั้นแล้วประกอบให้เราเลยครับ ก่อนออกจากร้านก็เช็คดูก่อนนะครับว่า ของที่ได้ตรงตาม Spec หรือเปล่า เปิดเทสดูว่าอุปกรณ์ทำงานอยู่มั๊ย ไฟเข้าหรือเปล่า พัดลมหมุนมั๊ย อันนี้ก็สังเกตดูกันเอาเองครับ

ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกเดินทางไปซึ้อถึงพันธุ์ทิพย์ ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า หากจะไปซื้อกับร้านที่อยู่ในศูนย์รวมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ล่ะก็ ถึงมันจะถูกกว่าของแบรนด์ แต่ก็ใช่ว่าได้ของดีครับ บางร้านเอาของเก่าค้างสต็อคมาประกอบขาย แล้วจัดราคาให้ถูกลงมาหน่อยพร้อมของแถมมากมาย ซึ่งจริงๆ แล้วมันรวมราคาของแถมเหล่านั้นไว้ในราคาคอมไปแล้วครับ (ประสบการณ์ตรงจากการซื้อคอมเครื่องแรกในชีวิต) ดูเหมือนจะได้อะไรมากมายแต่จริงๆ แล้วเป็นการแพ็ครวมของขายครับพี่น้อง มิหนำซ้ำบางร้านก็จัดชุดอะไรมาก็ไม่รู้ บางอุปกรณ์ก็ทำงานไม่เข้ากันพอใช้ไปนานๆ อาการรวนจะค่อยปรากฏให้เห็น

ขอเล่าเรื่องการซื้อคอมเครื่องล่าสุดให้ได้รับทราบกัน ผมอยู่เชียงใหม่ครับ ศูนย์คอมพิวเตอร์ก็มีอยู่ 4 ที่ใหญ่ๆ ผมก็ได้เสป็คมาจากการไปถามในบอร์ดมา แล้วเดินถือใบรายการไปถามหลายร้าน โดยไม่ได้ใส่ราคาที่ผมได้มาจากบอร์ลงไปให้ทางร้านเห็นด้วย เพื่อจะเอาไปเปรียบเทียบกันหลายๆ ร้าน ราคาคอมชุดนั้นที่ได้มา ตกอยู่ที่ 30500 บาท (ตอนนั้นจะเล่น i5 เพิ่งออกใหม่) ราคานี้ไม่รวมจอนะครับ พอไปสอบราคาดู ปรากฏว่า ราคาที่ทางร้านต่างๆ ตีมาให้ ถีบตัวไปถึงช่วง 34000 - 36500 บาท เฮ้ย ! อะไรวะ ส่วนที่เพิ่มมามันมาจากไหนกัน แถมอุปกรณ์บางอย่าง พี่แกไม่มีก็เลยเปลี่ยนเป็นยี่ห้ออื่นรุ่นอื่นให้ซะงั้น ไม่ตรงตามที่ต้องการ (Spec ที่ได้มาจากบอร์ดโอเวอร์คล็อคนั้น พวกพี่ๆ เขาจัดมาให้มันทำงานสอดคล้องกัน หากเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น ความแรงอาจตกหรือคอมรวนขึ้นมาได้ครับ) อ้อ มีอีกอย่างที่แสดงให้เห็นถึงจรรยาบรรณการขายของของบางร้าน คือตอนที่ผมถามไปว่าทำไมของมันถึงแพงกว่ากันขนาดนี้ แล้วควักราคาที่ได้มาออกมาให้ดู เนื่องด้วยความสงสัยส่วนตัว บวกกับความเมื่อยล้าที่เดินถามราคาจนขาขวิด คำตอบที่ได้คือ "ราคานั้นมันยังไม่ได้รวมภาษีครับ" อ้าว ไอ้พวกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซื้อมาเป็นชิ้น มันก็รวมภาษีอยู่ในนั้นแล้วนี่ พี่จะมาคิดภาษีจากมูลค่ารวมอีกรอบรึไง แล้วถึงคิดออกมาก็ไม่เท่ากับส่วนที่มันงอกออกมาเลยนะครับ บ้าไปแล้ว!! แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดออกไปหรอกครับ เดี๋ยวเดินออกจากร้านไม่ได้ อิอิ สุดท้ายเลยไปที่บอร์ดอีกครั้งเพื่อหาทางออก และแล้วก็ได้ทางออกที่ดีมาครับ คือมีพี่คนนึงในบอร์ด เขาจัดเสป็คให้กับคนในบอร์ดนั้นแหละครับ พี่เขารับประกอบคอมด้วย โดยโอนเงินไปให้ แล้วเขาจะไปซื้อของที่พันธุ์ทิพย์มาประกอบให้ คิดค่าแรงนิดหน่อย แล้วส่งคอมมาทางบริการส่งพัสดุ ของเชียงใหม่ที่เร็วๆ ก็ของสยามเฟิร์สครับ ค่าส่ง 150 บาท จำได้ว่า โอนเงินไปให้วันจันทร์ วันศุกร์ก็ได้ของ โดยกล่องของอุปกรณ์และใบรับประกันต่างๆ ก็ส่งมาให้ครบถ้วน ลงโปรแกรมให้เลยด้วย ส่วนจอ LCD นี่ก็ซื้อที่เชียงใหม่แหละครับ ราคาไม่ได้โดนโก่งจนน่าเกลียด พอรับได้อยู่ สำหรับวิธีนี้ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ครับ เพราะเกิดไปจ้างผู้ไม่ประสงค์ดีเข้า เงินหลายหมื่นหายวับเลยนะครับ แต่ผมก็ไม่อยากจะเสียเงินให้กับร้านพวกนั้นเหมือนกัน

เพิ่มเติมอีกนิดเรื่องการรับประกันอุปกรณ์ต่างๆ นะครับ เวลาเราซื้อของมาเป็นชิ้นๆ อุปกรณ์แต่ละตัวก็มีประกันของใครของมันครับ หากมีปัญหาและอยู่ในระยะประกัน ก็สามารถนำไปเคลมหรือซ่อมได้ที่ศูนย์เลยครับ ลองตรวจสอบดูครับว่าในจังหวัดของเรามีศูนย์อยู่ที่ไหนบ้าง แต่ถ้าไม่มีก็ส่งเข้าศูนย์ใหญ่เลยครับ โดยโทรศัพท์ไปสอบถามวิธีการส่งและระยะเวลา รวมถึงรายระเอียดต่างๆ อย่าเข้าใจว่าถ้าซื้อคอมมาประกอบเองแล้วไม่มีประกันนะครับ

ใครที่สนใจอยากรู้จักพี่ที่ประกอบคอมให้ผม เมล์มาถามได้ครับที่ kaminrider@gmail.com


ผมเคยนำข้อมูลเรื่องการเลือกซื้อ Computer มาลงให้อ่านกันแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานเป็นปีๆ แล้ว เทคโนโลยีพวก IT นี่พัฒนากันเร็วครับ บทความนั้นก็เก่าเกินแกงแล้ว พอดีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มา ผ่านมาครึ่งปี มันก็ถือว่าเก่าไปแล้ว แต่ถ้ามัวแต่ไปตามและคิดว่าคอมที่เราซื้อมา มันไม่ดีมันเก่าเพียวเพราะมีรุ่นใหม่ๆ ออกมา คิดอย่างนี้คงไม่ได้ใช้คอมกันพอดี มีคนเคยพูดกับผมประโยคนึงว่า "คอมน่ะ แค่ซื้อแล้วเดินออกจากร้าน มันก็ตกรุ่นแล้ว" 555

จำนวนเงิน 25000 บาท เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่ผมซื้อคอมเครื่องแรกมาใช้ กับจำนวนเงินใกล้เคียงกันเมื่อต้นปี คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่นี้ ประสิทธิภาพดีกว่ากันหลายเท่า ลองตีราคาคอมเครื่องแรกตอนนี้ ราคาจะถึง 5000 หรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮ้อ มันเป็นสัจธรรมของวงการคอมพิวเตอร์ครับ เห็นถึงเหตุ รู้ถึงผล แล้วปล่อยวางมันไป.....นะ

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องบ่นอะไรเลย เพราะก่อนหน้าที่จะซื้อคอมเครื่องใหม่นั้น ผมก็ไล่หาข้อมูลการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วคอมที่ได้มานั้น ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ทำงานลื่นปรี๊ด ถูกใจจอร์จมาก เลยสรุปข้อมูลและความคิดเห็นไว้เป็นข้อ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไว้ตัดสินใจเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ครับ

ข้อมูลที่ต้องดู

  • CPU หน่วยประมวลผล นี้หลักๆ จะแบ่งเป็น 2 ค่ายครับ AMD แล้วก็ Intel ของค่าย AMD ราคากับประสิทธิภาพนั้น คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปครับ พูดตรงๆ ก็คือ "ถูก" CPU ที่น่าสนใจ ณ เวลานี้ของ AMD ก็คือ Phenom II X4, Phenom II X6 (แต่จริงๆ แล้ว Phenom II X2 ก็ได้อยู่) ส่วน Intel นั้นก็มี CPU ตัวแรงให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น ที่น่าสนใจก็คือ i5, i7 (i3 ก็ใช้ได้) จะเลือกตัวไหนก็ดูงบด้วยนะครับ CPU มีผลต่อการ Render ภาพ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ เวลาทำงานครับ อย่างเช่นตอนซูมเข้าซูมออกนี่ เห็นได้ชัดครับ ถ้าเปิดงานหนักๆ เวลาซูมเข้าแต่ละที ถ้าเครื่องแรงมันจะพรึ่บๆๆ แต่ถ้าเครื่องเต่า กว่าจะออกมาหมดนี่บางทีลุกไปชงกาแฟกลับมายังไม่เสร็จเลย (นี่ก็ว่าเกินไป 555)
  • RAM หน่วยความจำชั่วคราว จะยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ น่าจะมี RAM สัก 4Gb ขึ้นไปครับ เป็น RAM แบบ DDR3 ได้ยิ่งดี เพราะเร็ว แต่ราคาค่อนข้างสูง RAM มีผมต่อการทำงานค่อนข้างเยอะครับ เพราะถ้ามีน้อยไป เวลาโปรแกรมต้องการหน่วยความจำมากๆ หาก RAM หมด มันก็จะไปใช้พื้นที่ Harddisk แทน ซึ่งความเร็วในการเขียนข้อมูลของ Harddisk กับ RAM แล้ว ความเร็วคนละเรื่องกันเลยครับ และถ้า RAM ไม่พอแล้วปล่อยให้ Harddisk วิ่งโชว์ไฟแดงแป๋อยู่บ่อยๆ อายุของ Harddisk ก็จะสั้นลงเร็วกว่าปกติ
  • Harddisk เป็นที่เก็บข้อมูลต่างๆ ความจุก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 500GB ครับ และนอกจากจะดูที่ความจุแล้ว เราต้องดูที่ความเร็วในการเขียนและอ่านข้อมูลด้วยครับ มีผลกับการทำงานก็เช่น เวลาเปิดปิดโปรแกรม เวลาเซฟงานครับ อันนี้ดูยังไง ไม่ต้องคิดหรอกครับ แนะนำตัวนี้ครับ WESTERN DIGITAL 500GB WD5000AAKS ต้องรหัส AAKS นะครับ เพราะรุ่นนี้ทดสอบกันแล้วว่าของเค้าแรงจริง ขนาด 500 GB ราคาประมาณ 1600-1700 บาท ขนาด 640 GB ราคาประมาณ 2100-2200 บาท ตอนนี้ผมก็ใช้อยู่ครับ รับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองกันเลยทีเดียวว่า แรง
  • VGA หรือที่เราเรียกติดปากว่าการ์ดจอ อันนี้น่าจะมีการ์ดจอแรงๆ สักตัวติดเครื่องไว้สักตัวหนึ่ง เมื่อก่อนอาจจะไม่มีผลอะไรมาก แต่ถ้าสมัยนี้คิดว่าจำเป็นครับ เพราะโปรแกรมอย่าง Adobe CS4 ขึ้นไปมีระบบการใช้ CPU และ VGA ร่วมกันประมวลผล ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นครับ และสามารถที่จะเปิดใช้งานกับระบบทั้งระบบของเราได้ด้วย เรียกว่า OpenCL อันนี้ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ดูครับ ---->คลิก<----
วันนี้เอาเท่านี้ก่อน เดี๋ยวตอนต่อไปจะมาบอกเรื่อง วิธีการซื้อหาคอมพิวดตอร์มาใช้กัน จากประสบการจริง เอิ๊กๆ


เรียนทำเว็บฟรีมาทางนี้

สำหรับกราฟิกดีไซน์เนอร์คนไหนที่ต้องการต่อยอดการเรียนรู้ ที่นอกเหนือจากการทำงานสื่อสิ่งพิมพ์ ขยับขยายไปในส่วนของการทำ website แล้วล่ะก็ แนะนำเว็บไซต์ดีๆ ที่ไปเจอเข้า การเรียนการสอนเข้าใจง่ายและมีวิธีการสอนในรูปแบบใหม่ เรียนแบบถ่ายทอดสดกันเลยทีเดียว อาจารย์ผู้สอนก็ยินดีให้คำปรึกษาและเป็นกันเอง ดูแลเอาใจใส่ดีมากครับ ว่าแล้วก็เชิญได้ที่ www.rongrean.com

ทำยังไงให้ได้เข้าทำงาน ตอนที่ 1




มีหลายคนที่เพิ่งจบใหม่ กำลังต้องการหางานที่ตัวเองรักอยากการเป็น "กราฟิกดีไซน์เนอร์" แน่นอนว่าแหล่งหางานสมัยนี้ก็หนีไม่พ้นหาในเน็ตนี่แหละ ในส่วนของรายละเอียดการรับสมัครงานที่เราหาเจอนั้น โดยส่วนใหญ่จะบอกให้ไปสมัครด้วยตนเองที่บริษัทเลย ทำไมเหรอครับ? นั่นเพราะนายจ้างต้องการสอบถามหรืออาจจะทดสอบงานไปในตัวเลย จะได้รู้ว่าคุณสมบัติตามความต้องการหรือเปล่า

แต่ก่อนจะข้ามไปขั้นตอนนั้น ผมอยากให้ลองอ่านรายละเอียดการรับสมัครที่ประกาศให้ดีเสียก่อน แล้วถามตัวเองว่าตรงตามนั้นหรือเปล่า เพราะถ้าหวังจะแอบเนียนไปสมัคร ทั้งๆ ที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า "อยากได้คนที่มีประสบการณ์ด้านงานพิมพ์ และใช้งานโปรแกรม Indesign ได้เป็นอย่างดี" แต่ตัวเองเป็น Indesign แค่งูๆ ปลาๆ เคยเปิดโปรแกรมนี้มาแทบนับครั้งได้ หรือเคยใช้งานมาเมื่อนานแล้ว ต้องอาศัยเวลารื้อฟื้นสักระยะ งานนี้ขอบอกไว้เลยครับว่าอาจจะเสียเวลาทั้ง 2 ฝ่ายเลยก็ได้ เสียเวลาเดินทาง เสียค่ารถไปสมัคร ส่วนอีกฝ่ายเสียเวลาถามเจาะข้อมูลเราว่าใช้งานได้หรือไม่

โดยส่วนตัวแล้วเคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์งานมาบ้าง เพราะคนที่จะรับเข้ามาทำงานด้วยในทีมเดียวกับเรา ผมจะรู้ว่าคนนั้นใช้การได้หรือไม่ ขอนอกเรื่องสักนิด ผมเองเกิดความรู้สึกว่า การทำงานที่ผ่านมา คนที่เคยร่วมงานกันที่ออกๆ ไปนั้น จะอยู่ไม่นาน เข้ามาแปบๆ ก็ออกไปแล้ว ซึ่งหากลองพินิจดูแล้ว สาเหตุหลักๆ ก็คือ "การไม่มีจิตใจตั้งมั่นในการทำงาน" ทำงานไปวันๆ ไม่มีความกระตือรือล้นในการแสวงหาความก้าวหน้า ถึงตอนออกไปจะใช้คำพูดอ้างเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่สรุปสั้นๆ ว่า "ไม่มีใจ" แต่ช่วงเวลาที่ทำงานร่วมกันนั้น การสอนองค์ความรู้ต่างๆ ในการทำงาน คนสอนนี่เหนื่อยเหมือนกันนะ กว่าจะเป็นงานนี่ บางทีหลายเดือนเลย งานผมก็ไม่เดิน เพราะมัวแต่สอนงาน ระบบงานก็สะดุดคิดๆ ขัดๆ พอเป็นงานก็ลาออกไป เอ้อ ให้มันได้งี้สิ เลยตัดปัญหาเรื่องนี้ไปด้วยการเติมคำว่า "มีประสบการณ์ในการทำงาน" ลงไปในประกาศรับสมัครด้วยซะเลย

แต่ผลที่ออกมาก็คือ 8 ใน 10 ที่มาสมัครงาน คือประเภท "ขอให้ได้สมัครไว้ก่อน" อย่างงี้ไม่เอาแน่ๆ ครับ ถามว่ารู้ได้ไงว่าเป็นประเภทนี้ ก็ง่ายๆ ครับ สัมภาษณ์ด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมนี่แหละครับ คนที่ตอบได้ก็น่าจะโอเค



ด่านที่นายจ้างตั้งไว้ จริงๆ ก็มีไม่กี่ด่านหรอกครับ



ด่านที่ 1 คำถามลองเชิง

สำหรับการรับคนเข้าทำงานสักคนหนึ่ง เราก็ต้องการรู้ว่าคนๆ นั้นทำอะไรได้บ้าง บางคนไม่ผ่านด่านนี้ตั้งแต่คำถามแรกแล้วครับ

เช่น บริษัทหนึ่ง ต้องการรับกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ ที่มีประสบการณ์ในด้านงานพิมพ์ และใช้โปรแกรม Indesign ได้เป็นอย่างดี

---------------------------------------------------
Q: เป็น Indesign มั๊ย?
A: ชะงักไปนิด แล้วตอบว่า "พอเป็นครับ/ค่ะ"

กรณีนี้ก็ไม่ผ่านครับ จังหวะนั้นจะรู้เลยว่า ไม่น่าจะเป็นถึงขนาดใช้งานหรือผ่านประสบการณ์ในการใช้งานมาก่อน เพราะถ้าคนที่เป็นจริงๆ เขาก็ตอบด้วยความมั่นใจครับ ไม่มีชะงัก ก็มีบางคนตอบว่า "พอเป็น" เหมือนกัน แต่ตอบทันทีที่ถาม ไม่ออกอาการชะงักคิด อันคำว่า "พอเป็น" ของบางคนนี่อาจจะอยู่ระดับเทพเลยก็ได้นะ อาจจะพูดถ่อมตัว ก็ต้องพิสูจน์ในด่านต่อไป ส่วนคนที่ตอบว่า "เป็นครับ" ด้วยความมั่นใจ ก็ผ่านข้อนี้ไปได้
---------------------------------------------------

สรุปในด่านแรก : หากต้องการผ่านด่านนี้ เราต้องตอบอย่างมั่นใจไปเลยว่าทำได้ เพราะถ้าทำได้จริงๆ เรื่องคำถามข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ต่อไปก็ตอบได้อยู่แล้ว ในขั้นตอนนี้ผู้สัมภาษณ์งานจะเก็บข้อมูลไว้ประเมินผลในใจแล้วว่าความสามารถของผู้สมัครงานอยู่ในระดับไหน


ด่านที่ 2 โชว์ทักษะ

ในขั้นตอนนี้จะเป็นตัวชี้วัดเลยว่าจะอยู่หรือจะไป (บางที่ก็ไม่มีขั้นตอนนี้เนื่องจากในขั้นตอนที่ 1 ได้ยิงคำถามกระหน่ำใส่ผู้สมัครจนพรุนไปเรียบร้อยแล้ว ตอบได้ชัดเจนฉะฉานและฉลาด ก็ผ่านรับเข้าทดลองงาน) การให้ลงมือโชว์ทักษะที่ตัวเองมีนั้น ผู้สมัภาษณ์จะเห็นขั้นตอนการทำงาน การแก้ปัญหาโจทก์ที่วางยาเอาไว้ ดูซิว่าจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ อย่างงานโรงพิมพ์นี่บอกได้เลยว่าการแก้ปัญหานั้นเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่กับตัวบ้าง ไม่ใช่มีปัญหานิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องให้รุ่นพี่แก้ไขให้ตลอด มันต้องพึ่งพาหาคำตอบด้วยตัวเองบ้าง สบายไปก็ไม่ดีนะ เดี๋ยวจะชิน

ยกตัวอย่าง เอาที่ผมทำมานี่แหละ เห็นมากับตา โดยโจทก์ที่วางไว้ก็ไม่ได้ยากเลย คือ จัดหน้าหนังสือ 5 หน้า โดยให้รูปที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่จะจัดหน้า แต่รูปก็ไม่ได้สวยเท่าไหร่นะ ต่อมาก็ข้อความที่จะใช้ ให้ไปเป็นไฟล์ Word ต่อมาแอบใจดีนะ ให้ Template งานไปด้วย แถมด้วยมีเน็ตไว้หารูปสวยๆ มาใช้ประกอบงาน ส่วนเวลาไม่กำหนด

แต่... เสียดายที่ 7 ใน 10 ไม่ได้ใช้เน็ตให้เป็นประโยชน์ บางคนถึงขนาดมั่นใจทำไฟล์ใหม่ ไม่ใช้ Template ที่ให้ไปด้วยเลยนะ แต่งานที่ออกมามันก็ผิดอ่ะ แล้วเวลาที่ใช้นี่ งาน 5 หน้าที่ให้จัด ก็ไม่น่าเกิน 1 ชั่วโมง เพราะไม่ได้เป็นงานที่อัดกราฟิกเลย (เพราะไม่ใช่งานหน้าปกหนังสือ โปสเตอร์ หรือแผ่นพับ) แค่ต้องการหน้างานที่ออกมาสวยงามตัวหนังสือจัด tab เรียบร้อย อ่านชัดเจน แค่นั้นแหละ
----------------------------------------------
สรุปด่านที่ 2 วางแผนการทำงานให้เรียบร้อยก่อนค่อยลงมือ ทำงานตามโจทก์ที่กำหนดให้ เพิ่มเติมความคิดสร้างสรรค์และฝีมือลงไปในงานอย่างลงตัว

ถ้าผ่านมาถึงตรงนี้ได้ ที่เหลือก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วครับ
เอาไว้คราวต่อไปจะมาเจาะรายละเอียดในขั้นตอนที่ 2 ให้อ่านกันครับ

การดูแลรักษาสมอง : Brain

นที่ทำงานกราฟิก (หรืออาชีพอะไรก็แล้วแต่) ที่ต้องใช้ความคิดอยู่ตลาดเวลา สมองต้องทำงานหนักตามไปด้วย ดังนั้นสมองต้องแข็งแรงถึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้สมองแข็งแรง บังเอิญไปเจอบทความที่น่าสนใจเข้า เป็นไฟล์ Word เลยไม่ทราบต้นตอว่ามาจากไหน ยังไงก็ขอบคุณต้นฉบับไว้ ณ ที่นี้ สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ครับ

10 วิธีรีเฟรชชีวิต
คร่ำเคร่งกับงานมาทั้งวันอย่าปล่อยให้ร่างกายหมดพลังไปเลยล่ะ เจียดเวลาสักเล็กน้อยลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูจะช่วยชาร์จพลังให้ชีวิตคุณได้

• นวดใบหู นวดบริเวณดังกล่าวประมาณ 5 วินาที สามารถคลายอาการปวดศีรษะและปวดบริเวณต้นคอได้

• ดื่มน้ำมากๆ
ควรจะดื่มน้ำบ่อยๆ แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้คุณดูอิดโรย ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น

• หัวเราะดังๆ
การมีอารมณ์ขันและหัวเราะเสียงดังบ้างเป็นครั้งคราวช่วยกระตุ้นให้คุณได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่

• หายใจให้ลึก
โดยการหายใจลึกๆ ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนทั่วถึง

• อาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็น
อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนไป เป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัว สดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปได้ทั้งวัน

• ออกไปโดนแดด
แสงแดดที่ไม่แรงนัก เช่น ในเวลาเช้า ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D และยังกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางประเภทในสมอง เช่น ซีโรโตนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีผลในการควบคุมอารมณ์

• ท้าทายสมอง
ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน ช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น
• แอบงีบบ้างไม่ผิด ถ้ารู้สึกอ่อนล้ามากๆ ลองงีบพักสักครู่จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น

• ฝึกทักษะให้สมอง
การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆหรือการเล่นเกม เช่น หมากรุก จะช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองไม่ล้าจากการทำงาน

• สดชื่นเข้าไว้
ข้อนี้สำคัญมากครับ ยิ่งถ้าคุณรู้สึกเบื่อ อ่อนล้า เหนื่อยอ่อน มากเท่าไรก็จะเป็นการดูด พลังงานของคนรอบข้างให้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วย อาจจะลองหาที่สงบอยู่กับตัวเองซักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นโดยอาจจะลองปฎิบัติวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาเริ่มงานด้วยความสดชื่นต่อไป

ฝึกสมองให้รู้จักจำ
มีเรื่องให้จัดการเยอะบางทีก็มีเรื่องให้ลืมเป็นธรรมดา แต่...ถ้าเกิดไปลืมเรื่องสำคัญเข้าละก็แย่แน่ๆ วันนี้เรามีวิธีฝึกสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ รับรองว่าไม่ยาก

1.จดบันทึกช่วยจำ การจดบันทึกลงในสมุดที่มีวันที่กำกับ จะช่วยให้คุณแพลนเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือที่ต้องทำในเดือนถัดไป จดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่เพื่อนฝูง วันเกิด ข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นและการรักษา รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณในแต่ละวัน คำคมที่ชอบ ฯลฯ การจดจะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น หรือถ้าจำไม่ได้ พกสมุดบันทึกติดตัวไปเปิดดูยามที่นึกอะไรไม่ออก ก็ช่วยได้ดี

2. พูดกับตัวเองดังๆ "เรากำลังจะเอาสูทไปซักแห้ง แล้วจะเลยเอารถไปเช็คที่ศูนย์ แล้วแวะไปฟิตเนสต่อ" การพูดก็เหมือนกับจดบันทึก ยามเช้าก่อนเริ่มออกจากบ้าน นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ ซ้ำๆกันหลายๆหน ถ้าคิดว่ายังจำไม่ได้และเป็นกังวล ลองใช้เครื่องบันทึกเทปเล็กๆ อัดเสียงที่คุณพูด และนำเทปติดตัวไปเปิดยามที่นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร

3. ติดโน้ต เวลาที่มีการนัดหมายหรือนึกขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรในวันที่ยังมาไม่ถึง ให้เขียนสิ่งที่จะทำลงบนกระดาษโน้ต แปะไว้ในที่ๆ คุณต้องเห็นเป็นประจำ เช่น ที่ประตูตู้เย็นในครัว,บอร์ดช่วยจำที่ติดไว้ตรงทางเดินก่อนออกจากบ้าน หรือในรถ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ คือการเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้นได้แม่นยำขึ้น

4. เก็บข้าวของให้เป็นที่ เก็บของให้เป็นที่ในที่ที่ควรจะเป็น เช่น เก็บยาที่ต้องกินก่อนนอนไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ข้างขวดน้ำดื่ม, เก็บกุญแจไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างประตูทางออก ช่วยให้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลานึกทุกครั้งที่จะใช้ข้าวของที่ว่า

5. อย่าจับปลาหลายมือ ไม่ได้หมายถึงการมีแฟนทีเดียวหลายๆ คนนะ แต่หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ดูทีวี ในขณะที่หูก็ฟังเสียงเพื่อนในโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรจะเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

6.ปฎิบัติตัวเป็นกิจวัตร การทำซ้ำๆ เหมือนๆกัน ช่วยให้สมองจำได้เองโดยไม่ต้องพยายาม เช่น ถ้าทุกครั้งที่อ่านหนังสือยังไม่จบแต่ต้องไปทำอย่างอื่น คุณวางมันไว้ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ เมื่อเสร็จธุระจะกลับมาอ่านต่อ สมองจะสั่งการโดยอัตโนมัติว่าจะต้องไปหยิบหนังสือที่ไหน

7. ใช้ทริคช่วยจำ ทริคประเภทท่องจำ,คำย่อ,คำคล้องจอง อย่างสมัยที่เราทำตอนเด็กๆ ประเภท "ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ..." ยังใช้ได้ดีในกรณีนี้ ยิ่งถ้าต้องทำอะไรหลายๆ อย่างในวันเดียว เอามาผูกเป็นเรื่องอย่างข้างต้น หรือจะใช้ตัวย่อ เช่น ฟ-ส-น-ม (ทำฟัน-เอาหนังสือไปคืนเพื่อน-เติมน้ำมันรถ-จ่ายค่ามือถือ) ก็ได้

8. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ทำอะไรให้ช้าลงหน่อย เพราะสมองเราจะจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว ทำเร็ว จนเกินไปก็มีส่วนทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทัน

9. ร่างกายแข็งแรง ความจำก็แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี กินอาหารให้ครบหมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีไปด้วย

10. บริหารสมอง ทำกิจกรรมที่แตกต่าง เช่น เล่นเกมส์,อ่านหนังสือ,เล่นดนตรี ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง ก็เหมือนกับร่างกาย เมื่อได้ออกกำลังก็จะแอคทีฟขึ้น คิดอะไรได้ฉับไว และที่แน่ๆ ช่วยให้ความจำดี

11. เข้าใจความถนัดของตัวเอง คนเราแต่ละคนที่ความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็น (จดบันทึก) บางคนจำได้ดีกว่าเมื่อได้ยินเสียง (พูดดังๆ/อัดเทป) แต่ก็มีบางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฎิบัติหรือมีประสบการณ์ร่วม (เขียน/ทำ)

นิสัยแบบไหนที่ดีกับสมอง
รู้หรือไม่ว่านิสัยการใช้ชีวิตประจำวันของคุณบางอย่างนั้นมีส่วนในการลดประสิทธิภาพการทำงานของสมองของโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะให้ดีลองปรับเปรียนนิสัยตามคำแนะนำด้านล่างนี้ดูรับรองว่าสมองจะยังกระชุ่มกระชวยไปได้อีกนาน

1. ห้ามพลาดมื้อเช้า การละเลยไม่กินอาหารเช้า ทำให้ขาดสารอาหารไปเลี้ยงสมองเป็นสาเหตุของสมองเสื่อม (ช่วงเวลาที่นอนหลายชั่วโมงร่างกายขาดน้ำและอาหารอย่างน้อย 5 ชั่วโมง รวมเวลาตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน ถ้าจะรอไปกินมื้อเที่ยง รวมๆ แล้วเป็นเวลาอย่างน้อยก็ 10 ชั่วโมง ที่สมองขาดอาหาร) ลองสังเกตช่วงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจะรู้สึกสดใสมากขึ้น แถมยังช่วยให้เริ่มงานตอนเช้าอย่างอารมณ์ดี และมีประสิทธิภาพ

2. อิ่มพอดีๆ สังเกตปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อให้อิ่มกำลังดี อย่าตามใจปาก กินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. เลิกบุหรี่ เพื่อตัดต้นเหตุของโรคสมองฝ่อ และอัลไซเมอร์ รวมถึงอันตรายที่จะเกิดแก่อวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายอีกมากมาย

4.หวานน้อยๆ ดีกว่า เลือกกินขนมที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแต่น้อย พอให้มีรสชาติและรู้สึกสดใส อย่าลืมว่าของหวานนั้นหากกินมากเกินไป จะขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและขัดขวางพัฒนาการของสมองอีกด้วย

5.หลีกเลี่ยงมลพิษ หลีกไม่ได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงให้ได้ เพราะการสูดอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไปในร่างกาย ส่งผลให้ออกซิเจนในสมองลดลง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองถดถอย

6.นอนให้พอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้สมองส่วนความจำทำงานได้ดี สามารถรวบรวมข้อมูลในเช้าวันใหม่ได้เต็มที่เรียกว่าพร้อมรับกับสิ่งใหม่ในวันใหม่นั่นเอง ในทางตรงข้ามอันตรายจากการอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้

7.ไม่นอนคลุมโปง เวลานอนคลุมโปง อากาศที่เราหายใจจะมีจำกัด และไม่ถ่ายเทเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. อย่าฝืนใช้สมองเมื่อป่วย ป่วยก็ต้องพัก การใช้สมองขณะที่กำลังป่วยเป็นการเร่งให้สมองทำงานหนักขึ้น แถมสมองที่ไม่แข็งแรงก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพยิ่งฝืนก็ยิ่งทำร้ายสมองของตัวเอง

9.ใช้หัวบ่อยๆ การคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ เป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง ป้องกันอาการสมองฝ่อไปในตัว

10.พูดคุยเข้าไว้ ทักษะการพูดเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งของการทำงานของสมองอีกทั้งการพูดยังเป็นการแบ่งปันความคิด หรืออารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะเวลาเครียดคิดอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว พูดคุยปรึกษากับคนข้างๆ บ้าง จะช่วยผ่อนคลายสมองแถมช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้ปรองดองแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วย.

รู้จักฝึกสมองให้ไหลนอกทาง
การทำงานของสมองเปรียบได้กับฝน เมื่อฝนแรกตกลงมายังพื้นดิน ฝนแต่ละเม็ดต่างไหลลงมาที่ลาด ต่างคนต่างไหล แต่นานๆไปเม็ดฝน 4-5 เม็ด จะไหลมารวมตัวกันเป็นสายเดียวกัน พอฝนใหม่ตกลงมาบนพื้นดินนี้ เม็ดฝนใหม่ก็จะไหลไปตามสายน้ำที่มีอยู่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป จนสายน้ำลึกขึ้น กว้างขึ้น เป็นคลองเป็นแม่น้ำ การรวมตัวกันเอง จัดการตัวเองของฝนเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นระบบข้อมูลที่จัดการด้วยตัวเอง (Self organizing Information System) ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับการทำงานของสมองของคนเรา ตัวอย่างเช่น วันแรกที่เราเริ่มไปทำงาน เราเดินทางจากบ้านไปที่สำนักงาน จิตใจอาจตื่นเต้นหรือกังวลกับเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ในที่สุดเราก็ไปถึงสำนักงาน ณ จุดนี้เองสมองเราเริ่มทำหน้าที่เปิดกล่องข้อมูลใหม่ไว้อย่างดี พอรุ่งขึ้นเราจะออกเดินทางจากบ้านไปสำนักงานอีก คราวนี้สมองจะช่วยเราอย่างมาก เพราะสมองได้จำไว้แล้วในกล่องข้อมูล สมองจะส่งข้อมูลให้เราทันทีว่า “ฉันรู้ว่าต้องไปอย่างไร ฉันจะบอกให้” เราไม่ต้องออกแรงคิด เพราะสมองช่วยเราได้อย่างดี ด้วยระบบการจัดข้อมูลด้วยตัวเอง หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า “ฝนตกลงมา น้ำไหลเป็นทาง”

ความสำคัญของโปรตีนต่อสมอง
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสมองนั้นต้องอาศัยสารสื่อนำประสาทในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมดให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสารอาหารที่นำมาใช้สร้างสารสื่อนำประสาทในสมองก็คือ โปรตีนนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าในหนึ่งวันเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างแน่นอน ซึ่งในหนึ่งวันเราควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น คนหนัก 65 ก.ก. โปรตีนที่ต้องการในหนึ่งวันคือ 65 กรัม เป็นต้น โดยร่างกายจะย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเดี่ยวๆ และแบบเรียงตัวต่อกันเรียกว่า “เปปไทด์” ซึ่งรูปแบบของโปรตีนที่ดีที่สุดก็คือ “เปปไทด์” นี่เอง เพราะร่างกายดูดซึมได้เร็วกว่ากรดอะมิโนเดี่ยวๆ เมื่อดูดซึมได้เร็วร่างกายก็นำไปสร้างสารสื่อนำประสาทในสมองได้รวดเร็วเช่นกัน โปรตีน “เปปไทด์” จึงนับได้ว่าเป็นสารอาหารเพียงหนึ่งเดียว ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างรวดเร็ว เป็นแหล่งโปรตีนของสมองที่เหมาะกับชีวิตอันเร่งรีบในปัจจุบันอย่างมาก

ทำความรู้จักสมองทั้งสองซีก
สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตและคิดสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง สมองจึงเป็นเครื่องมือในการทำงานที่เราจำเป็นต้องดูแลอย่างดีที่สุด สมองเกี่ยวข้องกับความสามารถในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานของมนุษย์ โดยสมองของคนเรานั้นแบ่งเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้าย และซีกขวา ซึ่งมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งควบคุมความรู้สึก การรับรู้ ควบคุมระบบความคิด ความจำ การแสดงพฤติกรรม และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยสมองซีกซ้ายนั้นทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ การแยกแยะ เหตุผลส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ โดยจำแนกได้ดังนี้

สมองซีกขวา
- การมองอะไรที่เป็นมิติ และช่องว่างบนพื้นผิว (Spatial)
- การเข้าใจภาษาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน
- การรับรู้ลวดลายทางด้านศิลปะ การแสดงละคร
- ความคิดสร้างสรรค์
- การมีอารมณ์ขัน
- การรับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
- ความคิดเชิงนามธรรม
- การใช้ภาษาท่าทางหรือภาษากาย
- การทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

สมองซีกซ้าย
- การแสดงออกทางด้านการพูด
- การรับรู้ด้านภาษา
- การใช้กล้ามเนื้อแขนขาและมือ
- ความระมัดระวัง
- การเรียนรู้โดยการจัดหมวดหมู่
- การค้นหาความเหมือนกัน
- การมีสติควบคุมตัวเอง
- การสร้างแนวคิดใหม่ๆ หรือความคิดรวบยอดที่เราเรียกว่าการวาง Concept
- การวิเคราะห์เกี่ยวกับเวลา
- การเรียนคณิตศาสตร์คำนวณ การเข้าใจจำนวน
- การเขียน
- การจำแนกซ้ายขวา
- การจัดลำดับสิ่งของ

การทำงานของสมองนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยสารสื่อนำประสาท ภายในสมองเรานั้นมีเส้นใยประสาทมากมายเชื่อมต่อกัน และส่งข้อมูลโดยอาศัยสารสื่อนำประสาทที่สร้างมาจากโปรตีนเป็นตัวเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมด สมองประกอบด้วยคลื่นหลายชนิดตามภาวะของร่างกาย โดยคลื่นสมองที่ดีที่สุดในการทำงานก็คือ High Band Alpha ที่มีความถี่ 10-13 Hz ซึ่งจะเกิดภาวะผ่อนคลายแต่ตื่นตัว มีสมาธิ และมีประสิทธิภาพสูงในการทำงาน เรียนรู้และจดจำ การเปลี่ยนแปลงของภาวะต่างๆ ในสมองนั้นเกิดจากสารสื่อนำประสาทซึ่งใช้แล้วหมดไป เมื่อหมดสมองก็เกิดอาการล้า คิดไม่ออก ทำให้ต้องมีการผลิตสารสื่อนำประสาทขึ้นมาใหม่จากโปรตีน


ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ โดยส่วนตัวแล้วผมเอาไปปฏิบัติตามลองดูบางข้อ รู้สึกว่าสุขภาพจิตดีขึ้น เมื่อก่อนหลับดึกตื่นเช้า ข้าวไม่ได้กินไปทำงาน ติดๆ กันก็อาการปวดหัวกำเริบอยู่บ่อยๆ พอตื่นเช้าขึ้นอีกหน่อยเพื่อมีเวลากินข้าวแล้วดื่มน้ำเยอะขึ้น อาการพวกนี้ก็หายไปเลย แถมรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและการคิดอะไรก็ฉับไวสมองปราดเปรียวกว่าเดิม แนะนำอีกอย่างครับว่า ควรฝึกสมาธิควบคู่ไปด้วย (Meditation) จะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำอยู่อย่างสม่ำเสมอนะครับ ไม่ใช่ว่าทำวันเดียวเห็นผลเลย

Graphic Worlds Prologue

วามตั้งใจที่ถือว่าเป็นจุดหมายอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผม คือการแบ่งปันสิ่งที่รู้ที่เห็นมาจากการทำงานที่ผ่านๆ มา ให้ก่อประโยชน์ต่อคนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการจดบันทึกของตัวเองไปในตัวด้วยครับ

สำหรับเนื้อหาในนี้ จะกล่าวถึงความรู้ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากหลายแหล่ง และจากการทำงานจริง ทั้งเทคนิค วิธีการ แนวความคิด และการต่อยอด ของงาน Graphic Design ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริง (จะหนักไปทางสื่อสิ่งพิมพ์หน่อยนะครับ เนื่องจากตัวผมเองทำงานทางด้านนี้)

ที่ผ่านมารู้สึกเสียดายเวลาเป็นอย่างมาก ที่มัวแต่อ้างกับตัวเองว่าไม่มีเวลาจะทำ ดังนั้นจากนี้ไปการอัพเดทข้อมูลเป็นประจำ และต่อเติมโครงการนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นบททดสอบและการพิสูจน์ตัวเอง รวมถึงการพัฒนาความสามารถของตนเองไปพร้อมๆ กับทุกคนที่ให้เกียรติแวะเข้ามาในโลกเล็กๆ ใบนี้ครับ