การดูแลรักษาสมอง : Brain

นที่ทำงานกราฟิก (หรืออาชีพอะไรก็แล้วแต่) ที่ต้องใช้ความคิดอยู่ตลาดเวลา สมองต้องทำงานหนักตามไปด้วย ดังนั้นสมองต้องแข็งแรงถึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้สมองแข็งแรง บังเอิญไปเจอบทความที่น่าสนใจเข้า เป็นไฟล์ Word เลยไม่ทราบต้นตอว่ามาจากไหน ยังไงก็ขอบคุณต้นฉบับไว้ ณ ที่นี้ สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ครับ

10 วิธีรีเฟรชชีวิต
คร่ำเคร่งกับงานมาทั้งวันอย่าปล่อยให้ร่างกายหมดพลังไปเลยล่ะ เจียดเวลาสักเล็กน้อยลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูจะช่วยชาร์จพลังให้ชีวิตคุณได้

• นวดใบหู นวดบริเวณดังกล่าวประมาณ 5 วินาที สามารถคลายอาการปวดศีรษะและปวดบริเวณต้นคอได้

• ดื่มน้ำมากๆ
ควรจะดื่มน้ำบ่อยๆ แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้คุณดูอิดโรย ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น

• หัวเราะดังๆ
การมีอารมณ์ขันและหัวเราะเสียงดังบ้างเป็นครั้งคราวช่วยกระตุ้นให้คุณได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่

• หายใจให้ลึก
โดยการหายใจลึกๆ ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนทั่วถึง

• อาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็น
อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนไป เป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัว สดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปได้ทั้งวัน

• ออกไปโดนแดด
แสงแดดที่ไม่แรงนัก เช่น ในเวลาเช้า ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D และยังกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางประเภทในสมอง เช่น ซีโรโตนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีผลในการควบคุมอารมณ์

• ท้าทายสมอง
ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน ช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น
• แอบงีบบ้างไม่ผิด ถ้ารู้สึกอ่อนล้ามากๆ ลองงีบพักสักครู่จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น

• ฝึกทักษะให้สมอง
การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆหรือการเล่นเกม เช่น หมากรุก จะช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองไม่ล้าจากการทำงาน

• สดชื่นเข้าไว้
ข้อนี้สำคัญมากครับ ยิ่งถ้าคุณรู้สึกเบื่อ อ่อนล้า เหนื่อยอ่อน มากเท่าไรก็จะเป็นการดูด พลังงานของคนรอบข้างให้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วย อาจจะลองหาที่สงบอยู่กับตัวเองซักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นโดยอาจจะลองปฎิบัติวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาเริ่มงานด้วยความสดชื่นต่อไป

ฝึกสมองให้รู้จักจำ
มีเรื่องให้จัดการเยอะบางทีก็มีเรื่องให้ลืมเป็นธรรมดา แต่...ถ้าเกิดไปลืมเรื่องสำคัญเข้าละก็แย่แน่ๆ วันนี้เรามีวิธีฝึกสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ รับรองว่าไม่ยาก

1.จดบันทึกช่วยจำ การจดบันทึกลงในสมุดที่มีวันที่กำกับ จะช่วยให้คุณแพลนเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือที่ต้องทำในเดือนถัดไป จดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่เพื่อนฝูง วันเกิด ข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นและการรักษา รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณในแต่ละวัน คำคมที่ชอบ ฯลฯ การจดจะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น หรือถ้าจำไม่ได้ พกสมุดบันทึกติดตัวไปเปิดดูยามที่นึกอะไรไม่ออก ก็ช่วยได้ดี

2. พูดกับตัวเองดังๆ "เรากำลังจะเอาสูทไปซักแห้ง แล้วจะเลยเอารถไปเช็คที่ศูนย์ แล้วแวะไปฟิตเนสต่อ" การพูดก็เหมือนกับจดบันทึก ยามเช้าก่อนเริ่มออกจากบ้าน นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ ซ้ำๆกันหลายๆหน ถ้าคิดว่ายังจำไม่ได้และเป็นกังวล ลองใช้เครื่องบันทึกเทปเล็กๆ อัดเสียงที่คุณพูด และนำเทปติดตัวไปเปิดยามที่นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร

3. ติดโน้ต เวลาที่มีการนัดหมายหรือนึกขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรในวันที่ยังมาไม่ถึง ให้เขียนสิ่งที่จะทำลงบนกระดาษโน้ต แปะไว้ในที่ๆ คุณต้องเห็นเป็นประจำ เช่น ที่ประตูตู้เย็นในครัว,บอร์ดช่วยจำที่ติดไว้ตรงทางเดินก่อนออกจากบ้าน หรือในรถ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ คือการเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้นได้แม่นยำขึ้น

4. เก็บข้าวของให้เป็นที่ เก็บของให้เป็นที่ในที่ที่ควรจะเป็น เช่น เก็บยาที่ต้องกินก่อนนอนไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ข้างขวดน้ำดื่ม, เก็บกุญแจไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างประตูทางออก ช่วยให้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลานึกทุกครั้งที่จะใช้ข้าวของที่ว่า

5. อย่าจับปลาหลายมือ ไม่ได้หมายถึงการมีแฟนทีเดียวหลายๆ คนนะ แต่หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ดูทีวี ในขณะที่หูก็ฟังเสียงเพื่อนในโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรจะเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

6.ปฎิบัติตัวเป็นกิจวัตร การทำซ้ำๆ เหมือนๆกัน ช่วยให้สมองจำได้เองโดยไม่ต้องพยายาม เช่น ถ้าทุกครั้งที่อ่านหนังสือยังไม่จบแต่ต้องไปทำอย่างอื่น คุณวางมันไว้ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ เมื่อเสร็จธุระจะกลับมาอ่านต่อ สมองจะสั่งการโดยอัตโนมัติว่าจะต้องไปหยิบหนังสือที่ไหน

7. ใช้ทริคช่วยจำ ทริคประเภทท่องจำ,คำย่อ,คำคล้องจอง อย่างสมัยที่เราทำตอนเด็กๆ ประเภท "ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ..." ยังใช้ได้ดีในกรณีนี้ ยิ่งถ้าต้องทำอะไรหลายๆ อย่างในวันเดียว เอามาผูกเป็นเรื่องอย่างข้างต้น หรือจะใช้ตัวย่อ เช่น ฟ-ส-น-ม (ทำฟัน-เอาหนังสือไปคืนเพื่อน-เติมน้ำมันรถ-จ่ายค่ามือถือ) ก็ได้

8. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ทำอะไรให้ช้าลงหน่อย เพราะสมองเราจะจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว ทำเร็ว จนเกินไปก็มีส่วนทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทัน

9. ร่างกายแข็งแรง ความจำก็แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี กินอาหารให้ครบหมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีไปด้วย

10. บริหารสมอง ทำกิจกรรมที่แตกต่าง เช่น เล่นเกมส์,อ่านหนังสือ,เล่นดนตรี ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง ก็เหมือนกับร่างกาย เมื่อได้ออกกำลังก็จะแอคทีฟขึ้น คิดอะไรได้ฉับไว และที่แน่ๆ ช่วยให้ความจำดี

11. เข้าใจความถนัดของตัวเอง คนเราแต่ละคนที่ความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็น (จดบันทึก) บางคนจำได้ดีกว่าเมื่อได้ยินเสียง (พูดดังๆ/อัดเทป) แต่ก็มีบางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฎิบัติหรือมีประสบการณ์ร่วม (เขียน/ทำ)

นิสัยแบบไหนที่ดีกับสมอง
รู้หรือไม่ว่านิสัยการใช้ชีวิตประจำวันของคุณบางอย่างนั้นมีส่วนในการลดประสิทธิภาพการทำงานของสมองของโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะให้ดีลองปรับเปรียนนิสัยตามคำแนะนำด้านล่างนี้ดูรับรองว่าสมองจะยังกระชุ่มกระชวยไปได้อีกนาน

1. ห้ามพลาดมื้อเช้า การละเลยไม่กินอาหารเช้า ทำให้ขาดสารอาหารไปเลี้ยงสมองเป็นสาเหตุของสมองเสื่อม (ช่วงเวลาที่นอนหลายชั่วโมงร่างกายขาดน้ำและอาหารอย่างน้อย 5 ชั่วโมง รวมเวลาตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน ถ้าจะรอไปกินมื้อเที่ยง รวมๆ แล้วเป็นเวลาอย่างน้อยก็ 10 ชั่วโมง ที่สมองขาดอาหาร) ลองสังเกตช่วงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจะรู้สึกสดใสมากขึ้น แถมยังช่วยให้เริ่มงานตอนเช้าอย่างอารมณ์ดี และมีประสิทธิภาพ

2. อิ่มพอดีๆ สังเกตปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อให้อิ่มกำลังดี อย่าตามใจปาก กินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. เลิกบุหรี่ เพื่อตัดต้นเหตุของโรคสมองฝ่อ และอัลไซเมอร์ รวมถึงอันตรายที่จะเกิดแก่อวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายอีกมากมาย

4.หวานน้อยๆ ดีกว่า เลือกกินขนมที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแต่น้อย พอให้มีรสชาติและรู้สึกสดใส อย่าลืมว่าของหวานนั้นหากกินมากเกินไป จะขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและขัดขวางพัฒนาการของสมองอีกด้วย

5.หลีกเลี่ยงมลพิษ หลีกไม่ได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงให้ได้ เพราะการสูดอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไปในร่างกาย ส่งผลให้ออกซิเจนในสมองลดลง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองถดถอย

6.นอนให้พอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้สมองส่วนความจำทำงานได้ดี สามารถรวบรวมข้อมูลในเช้าวันใหม่ได้เต็มที่เรียกว่าพร้อมรับกับสิ่งใหม่ในวันใหม่นั่นเอง ในทางตรงข้ามอันตรายจากการอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้

7.ไม่นอนคลุมโปง เวลานอนคลุมโปง อากาศที่เราหายใจจะมีจำกัด และไม่ถ่ายเทเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. อย่าฝืนใช้สมองเมื่อป่วย ป่วยก็ต้องพัก การใช้สมองขณะที่กำลังป่วยเป็นการเร่งให้สมองทำงานหนักขึ้น แถมสมองที่ไม่แข็งแรงก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพยิ่งฝืนก็ยิ่งทำร้ายสมองของตัวเอง

9.ใช้หัวบ่อยๆ การคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ เป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง ป้องกันอาการสมองฝ่อไปในตัว

10.พูดคุยเข้าไว้ ทักษะการพูดเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งของการทำงานของสมองอีกทั้งการพูดยังเป็นการแบ่งปันความคิด หรืออารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะเวลาเครียดคิดอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว พูดคุยปรึกษากับคนข้างๆ บ้าง จะช่วยผ่อนคลายสมองแถมช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้ปรองดองแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วย.

รู้จักฝึกสมองให้ไหลนอกทาง
การทำงานของสมองเปรียบได้กับฝน เมื่อฝนแรกตกลงมายังพื้นดิน ฝนแต่ละเม็ดต่างไหลลงมาที่ลาด ต่างคนต่างไหล แต่นานๆไปเม็ดฝน 4-5 เม็ด จะไหลมารวมตัวกันเป็นสายเดียวกัน พอฝนใหม่ตกลงมาบนพื้นดินนี้ เม็ดฝนใหม่ก็จะไหลไปตามสายน้ำที่มีอยู่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป จนสายน้ำลึกขึ้น กว้างขึ้น เป็นคลองเป็นแม่น้ำ การรวมตัวกันเอง จัดการตัวเองของฝนเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นระบบข้อมูลที่จัดการด้วยตัวเอง (Self organizing Information System) ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับการทำงานของสมองของคนเรา ตัวอย่างเช่น วันแรกที่เราเริ่มไปทำงาน เราเดินทางจากบ้านไปที่สำนักงาน จิตใจอาจตื่นเต้นหรือกังวลกับเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ในที่สุดเราก็ไปถึงสำนักงาน ณ จุดนี้เองสมองเราเริ่มทำหน้าที่เปิดกล่องข้อมูลใหม่ไว้อย่างดี พอรุ่งขึ้นเราจะออกเดินทางจากบ้านไปสำนักงานอีก คราวนี้สมองจะช่วยเราอย่างมาก เพราะสมองได้จำไว้แล้วในกล่องข้อมูล สมองจะส่งข้อมูลให้เราทันทีว่า “ฉันรู้ว่าต้องไปอย่างไร ฉันจะบอกให้” เราไม่ต้องออกแรงคิด เพราะสมองช่วยเราได้อย่างดี ด้วยระบบการจัดข้อมูลด้วยตัวเอง หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า “ฝนตกลงมา น้ำไหลเป็นทาง”

ความสำคัญของโปรตีนต่อสมอง
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสมองนั้นต้องอาศัยสารสื่อนำประสาทในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมดให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสารอาหารที่นำมาใช้สร้างสารสื่อนำประสาทในสมองก็คือ โปรตีนนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าในหนึ่งวันเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างแน่นอน ซึ่งในหนึ่งวันเราควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น คนหนัก 65 ก.ก. โปรตีนที่ต้องการในหนึ่งวันคือ 65 กรัม เป็นต้น โดยร่างกายจะย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเดี่ยวๆ และแบบเรียงตัวต่อกันเรียกว่า “เปปไทด์” ซึ่งรูปแบบของโปรตีนที่ดีที่สุดก็คือ “เปปไทด์” นี่เอง เพราะร่างกายดูดซึมได้เร็วกว่ากรดอะมิโนเดี่ยวๆ เมื่อดูดซึมได้เร็วร่างกายก็นำไปสร้างสารสื่อนำประสาทในสมองได้รวดเร็วเช่นกัน โปรตีน “เปปไทด์” จึงนับได้ว่าเป็นสารอาหารเพียงหนึ่งเดียว ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างรวดเร็ว เป็นแหล่งโปรตีนของสมองที่เหมาะกับชีวิตอันเร่งรีบในปัจจุบันอย่างมาก

ทำความรู้จักสมองทั้งสองซีก
สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตและคิดสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง สมองจึงเป็นเครื่องมือในการทำงานที่เราจำเป็นต้องดูแลอย่างดีที่สุด สมองเกี่ยวข้องกับความสามารถในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานของมนุษย์ โดยสมองของคนเรานั้นแบ่งเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้าย และซีกขวา ซึ่งมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งควบคุมความรู้สึก การรับรู้ ควบคุมระบบความคิด ความจำ การแสดงพฤติกรรม และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยสมองซีกซ้ายนั้นทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ การแยกแยะ เหตุผลส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ โดยจำแนกได้ดังนี้

สมองซีกขวา
- การมองอะไรที่เป็นมิติ และช่องว่างบนพื้นผิว (Spatial)
- การเข้าใจภาษาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน
- การรับรู้ลวดลายทางด้านศิลปะ การแสดงละคร
- ความคิดสร้างสรรค์
- การมีอารมณ์ขัน
- การรับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
- ความคิดเชิงนามธรรม
- การใช้ภาษาท่าทางหรือภาษากาย
- การทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

สมองซีกซ้าย
- การแสดงออกทางด้านการพูด
- การรับรู้ด้านภาษา
- การใช้กล้ามเนื้อแขนขาและมือ
- ความระมัดระวัง
- การเรียนรู้โดยการจัดหมวดหมู่
- การค้นหาความเหมือนกัน
- การมีสติควบคุมตัวเอง
- การสร้างแนวคิดใหม่ๆ หรือความคิดรวบยอดที่เราเรียกว่าการวาง Concept
- การวิเคราะห์เกี่ยวกับเวลา
- การเรียนคณิตศาสตร์คำนวณ การเข้าใจจำนวน
- การเขียน
- การจำแนกซ้ายขวา
- การจัดลำดับสิ่งของ

การทำงานของสมองนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยสารสื่อนำประสาท ภายในสมองเรานั้นมีเส้นใยประสาทมากมายเชื่อมต่อกัน และส่งข้อมูลโดยอาศัยสารสื่อนำประสาทที่สร้างมาจากโปรตีนเป็นตัวเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมด สมองประกอบด้วยคลื่นหลายชนิดตามภาวะของร่างกาย โดยคลื่นสมองที่ดีที่สุดในการทำงานก็คือ High Band Alpha ที่มีความถี่ 10-13 Hz ซึ่งจะเกิดภาวะผ่อนคลายแต่ตื่นตัว มีสมาธิ และมีประสิทธิภาพสูงในการทำงาน เรียนรู้และจดจำ การเปลี่ยนแปลงของภาวะต่างๆ ในสมองนั้นเกิดจากสารสื่อนำประสาทซึ่งใช้แล้วหมดไป เมื่อหมดสมองก็เกิดอาการล้า คิดไม่ออก ทำให้ต้องมีการผลิตสารสื่อนำประสาทขึ้นมาใหม่จากโปรตีน


ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ โดยส่วนตัวแล้วผมเอาไปปฏิบัติตามลองดูบางข้อ รู้สึกว่าสุขภาพจิตดีขึ้น เมื่อก่อนหลับดึกตื่นเช้า ข้าวไม่ได้กินไปทำงาน ติดๆ กันก็อาการปวดหัวกำเริบอยู่บ่อยๆ พอตื่นเช้าขึ้นอีกหน่อยเพื่อมีเวลากินข้าวแล้วดื่มน้ำเยอะขึ้น อาการพวกนี้ก็หายไปเลย แถมรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและการคิดอะไรก็ฉับไวสมองปราดเปรียวกว่าเดิม แนะนำอีกอย่างครับว่า ควรฝึกสมาธิควบคู่ไปด้วย (Meditation) จะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำอยู่อย่างสม่ำเสมอนะครับ ไม่ใช่ว่าทำวันเดียวเห็นผลเลย

ความผิดที่อย่าให้เกิด : Don't Miss

สำหรับกราฟิกมือใหม่ หรือแม้กระทั่งมือเก่าก็ตามที ร้อยทั้งร้อยแน่นอนว่าต้องเคยทำงานพลาดมาก่อน คำพูดที่ว่า "คนไม่ทำงาน คือคนที่ไม่เคยทำผิด" อย่าเอามาใช้ครับ มันเป็นข้ออ้างข้อหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่จะนึกได้ตามมาเรื่อย ๆ เพื่อที่จะปัดความผิดออกจากตัวยามเกิดปัญหางานผิด ลองมองย้อนกลับไปดูสาเหตุต้นตอของปัญหาจริง ๆ ไม่มากก็น้อยเราก็มีส่วนด้วยทั้งนั้น งานพิมพ์ออกมาสีเพี้ยน เป็นเพราะไม่ได้ปรับรูป หรือถ้าปรับแล้ว แต่ไม่ได้ตรวจดู Plate แม่แบบที่จะเอาไปใช้พิมพ์ หรือไม่ก็ไม่เข้าไปดูหน้าแท่นเพื่อเช็คสี บลา ๆ ๆ

ผลของการทำงานผิดพลาดในงานพิมพ์นั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย เพราะทุกอย่างมันเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น พิมพ์ออกมาเสร็จแล้ว อ้าวเฮ้ย!! หน้าปกทำไมสะกดคำผิด คิดดูนะครับว่าถ้าพิมพ์ออกมา 10,000 เล่ม ทั้งโรงพิมพ์คงมีคนเอาเท้ามาก่ายหน้าผากแน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่เสียเวลาตรวจให้ชัวร์อีกหน่อยก็กันปัญหาตรงนี้ได้แล้วแท้ ๆ ยังครับยังไม่หมด งานนี้ต้องมีแพะ จะใครซะอีก ก็ Graphic Designer ตัวพ่อที่นั่งหน้าซีดอยู่หน้าคอมนี่แหละ (อาจมีฝ่ายพิสูจน์อักษรพ่วงมาด้วย) ต่อให้หาข้ออ้างได้มากข้อแค่ไหนก็ตาม คนผิดก็ต้องผิดอยู่วันยังค่ำ หนังสือ 10,000 เล่มต้องมีคนรับผิดชอบ คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย ทำงานใช้หนี้กันทั้งชาติ นี่คือตัวอย่างที่มีเกิดขึ้นจริง ๆ

แล้วทำไมเราต้องมาทำให้มันเกิดเป็นปัญหา ในเมื่อเราป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้


การกำหนดขั้นตอนการทำงานให้เป็นระบบ จะช่วยป้องกันปัญหาตรงนี้ได้


1. เตรียมข้อมูล วัตถุดิบในการทำงาน และ Concept ในการออกแบบงานไว้ให้พร้อม โดยให้ลูกค้าเตรียมไฟล์งานให้เป็นระเบียบ เช็คดูว่า รูป และข้อมูลครบหรือยัง แล้วถาม Concept จากลูกค้าว่าต้องการให้ Artwork ออกมาเป็นอย่างไร สีออกโทนไหน ให้ลูกค้าได้ออกความคิดให้มากที่สุด เราไม่เหนื่อนเท่าไหร่ ลูกค้าก็ได้งานตามที่ต้องการ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันการทำงานที่ต้องแก้แล้วแก้อีก หรือทำงานใหม่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ มันเซ็งครับ มีอีกกรณีครับ หากเราไม่ได้เป็นคนติดต่อลูกค้าโดยตรง แต่เป็นฝ่ายการตลาดเป็นคนไปเจอลูกค้าแทนเรา ฝ่ายการตลาดก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องงานกราฟิกมาเท่าเรา บางครั้งก็ ครับ ครับ ครับ มาอย่างเดียว โดยหารู้ไม่ว่าไอ้ที่ครับนั่นน่ะ แก้ยากทำยากชิบ บางทีก็ทำไม่ได้เลย หรือทำได้แต่ใช้เวลานาน (งานเล็ก ๆ แต่เราต้องใช้เวลาทำเป็น 2 - 3 อาทิตย์ คุ้มมั๊ย?) เราต้องลากฝ่ายการตลาดมาคุย และสอนให้เข้าใจถึงความเป็นไปได้และขอบเขตในการทำงานด้วย ค่อย ๆ สอนไป เดี๋ยวความรู้ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น คราวต่อ ๆ ไป เขาก็สามารถรับงานแทนเราได้สบาย

2.เมื่อทำงาน Artwork เสร็จ ต้องมีการตรวจทุกครั้ง ทั้งทางเราเป็นคนตรวจ และให้ลูกค้าตรวจด้วย เมื่อตรวจและแก้ไขแล้วก็ให้พิมพ์ต้นฉบับออกมา แล้วให้ลูกค้าเซ็นชื่อกำกับไว้ด้วยว่า "ตรวจแล้ว" ทางฝ่ายลูกค้าก็จะได้ตั้งใจตรวจให้เราด้วย อีกอย่างคือ ในกรณีตรวจต้นฉบับที่เป็น Poster, ใบปลิว, แผ่นพับ หรืออะไรที่แปลกๆ ควร Print ออกมาในขนาดเท่างานจริงเวลาตรวจจะได้เห็นภาพชัดเจน รวมถึงสีที่จะออกมาด้วย ต้องบอกให้ลูกค้าเข้าใจว่า สีของงานที่จะออกมานั้นจะใกล้เคียงกับสีของหน้าจอของคนทำ Artwork ไม่ออกมาเป๊ะ ๆ เนื่องจากว่าสีที่เห็นนั้นมันคนละ mode กัน หน้าจอเป็นสีที่เกิดจากการผสมของแสง เป็นโหมด RGB แต่งานพิมพ์นั้นเป็นการผสมของสีที่เป็นวัสดุโหมด CMYK แน่นอนว่ามันไม่ใสเท่าในหน้าจอแน่ ๆ มีบวกลบประมาณ 10% ทั้งนี้ต้องชัวร์เรื่องสีของหน้าจอเราด้วย ให้เอางานเก่าที่เคยพิมพ์ออกมาแล้ว เอามาเป็นหลักปรับสีให้ใกล้เคียงกับงานที่พิมพ์ออกมาให้มากที่สุด ก่อนส่งงานทำเพลท ให้ใส่ Mark ในงานให้ละเอีดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ขึ้นตอนการจัดการหนังพิมพ์ Prepress เสร็จทำได้ง่ายขึ้น

3. เมื่อตรวจและส่งทำเพลทแม่แบบเรียบร้อย เราต้องตรวจเพลทด้วยทุกแผ่นทุกตารางเซนติเมตร เผื่อร้านทำเพลททำเพลทมาสกปรก มีฝุ่นหรือรอยสก็อตเทปติดมาด้วย หรือแม้กระทั้งตัวหนังสือหรือสิ่งแปลกปลอมโผล่มาในเพลท บางครั้งปัญหาอาจเกิดขึ้นจากเครื่อง Rip ฟิล์มที่ไม่สามารถยิงออกมาได้ ด้วยปัญหา Software หรืออะไรก็ตาม หากมาตรวจเจอปัญหาตรงนี้ก่อนพิมพ์ก็ยังแก้ได้ และดีกว่าพิมพ์ไปแล้วถึงมาเจอปัญหาทีหลัง ซวยเลย

4.ขณะพิมพ์ ให้เข้าไปดูหน้าแท่นบ่อย ๆ เพื่อเช็คดูสีที่พิมพ์ออกมา เข้มไป สีเพี้ยน หรือสีจางไป หรือมีจุดเปื้อน ก็บอกช่างพิมพ์ให้แก้ไข เพราะช่างเขาก็พิมพ์ไปตามเพลท ไม่รู้ว่าสีที่เราตั้งใจให้ออกมามันอยู่ระดับไหน ทางที่ดีเรียกให้มาดูหน้าจอด้วยจะดีกว่า

5.เอางานที่พิมพ์เสร็จมาจัดเป็นรูปเล่มหรือทำออกมาตามที่ออกแบบไว้ ตรวจเช็คให้ดี รอยตัดที่ต้องการให้ตัดออกไปก็ขีดไว้ซะ ต้องการให้ปั๊ม Die-cut ตรงไหนก็ทำ Mark ให้ดี ๆ

หลัก ๆ ก็มีอยู่เท่านี้ แต่ในแต่ละข้อนั้นสามารถแยกย่อยออกได้อีกเยอะ ทางที่ดีควรทำเป็น Paper ไว้เช็คทุกขั้นตอนเลย และที่สำคัญคือ "ห้ามข้ามขั้นตอน" อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าข้ามขั้นตอนไปแล้วงานผิดนี่ เรารับเต็ม ๆ นะครับ (ส่วนใหญ่ที่ผิดเพราะข้ามขั้นตอนนี่แหละ) ถึงงานจะล่าช้าแต่ถ้ายังไม่ผ่านขั้นตอนที่เรากำหนดไว้ก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านครับ ดีกว่างานผิด แล้วใครรับผิดชอบ

PAPER SIZE ขนาดกระดาษ

การออกแบบงานควรคำนึงถึงขนาดกระดาษ ที่เราจะนำมาใช้ด้วย ไม่ใช่ว่าออกแบบตามใจฉัน ขนาดงานเมื่อเอามาพิมพ์ลงกระดาษจริงแล้ว ดันเหลือพื้นที่ที่ต้องตัดทิ้งไปไม่เกิดประโยชน์ เสียดายเงินครับ หลักที่ควรคำนึงในการออกแบบงานสิ่งพิมพ์อย่างหนึ่งก็คือ การใช้พื้นที่ของกระดาษให้คุ้มค่า วิธีการคำนวนพื้นที่การใช้งานกระดาษให้คุ้มค่า เดี๋ยวจะมาบอกให้ทราบกันในบทความเรื่อง การวาง Layout งาน แต่ตอนนี้เรามาดูเรื่องขนาดกันก่อนดีกว่า

นาดกระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์ จะเป็นขนาดที่ตัดจากกระดาษแผ่นใหญ่ โดยขอแบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ คือ

1. ขนาดกระดาษแบบ "ตัด"
จะเรียกตามชิ้นส่วนที่ตัดออกมา ตัด 2, ตัด 4, ตัดโน่นตัดนี่ ตามขนาดดังต่อไปนี้

ตัด 2 = (30 ¾ ×21 3/8 inch)
ตัด 2 พิเศษ = (31×17 inch) หรือ (31×25 ½ inch)
ตัด 3 = (31×14 ¼ inch)
ตัด 4 = (21 ½ ×15 ½ inch)
ตัด 5 = (12 ½ ×17 ½ inch), (13 ½ ×17 ½ inch), (11×17 ½ inch), (18×11 inch)
ตัด 6 = (14 ¼ ×15 ½ inch)
ตัด 7 = (9×16 ¾ inch)
ตัด 8 = (10 ¾ ×15 ½ inch)
ตัด 9 = (10 ¼ ×14 ¼ inch)
ตัด 10 = (8 ½ ×15 ½ inch)
ตัด 11 = (8 ½ ×13 ½ inch)
ตัด 13 = (8 ½ ×11 inch)
ตัด 14 = (6 1/8 ×15 ½ inch)
ตัด 15 = (10 ¼ ×8 ½ inch)
ตัด 16 = (7 ¾ ×10 ¾ inch)
ตัด 18 = (7 1/8×10 ¼ inch)
ตัด 20 = (8 1/8×7 ¾ inch), (6 1/8×10 ¾ inch)
ตัด 21 = (6 1/8×10 ¼ inch)
ตัด 22 = (3 ¼ ×15 ½ inch), (13 ½ ×14 ½ inch)
ตัด 24 = (7 1/8×7 ¾ inch)
ตัด 25 = (6 1/8×8 ½ inch)
ตัด 26 = (4 ¼ ×11 inch)
ตัด 28 = (6 1/8×7 ¾ inch), (10 ¾ ×4 ¼ inch)
ตัด 30 = (8 ½ ×5 ½ inch), (10 ¼ ×4 ¼ inch)
ตัด 32 = (7 ¾ ×5 ¼ inch)
ตัด 35 = (4 ¼ ×8 ½ inch)
ตัด 36 = (7 1/8 ×5 ¼ inch)

เห็นมั๊ย ตัดกันจนอ้วกกันไปข้างนึง

2. ขนาดกระดาษตระกูล "A"

ที่เรารู้จักกันดีในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ A4 คราวนี้ลองไปดูกันว่าเค้าว่าไงมั่งเกี่ยวกับกระดาษพวกนี้

ISO 216 เป็นข้อกำหนดมาตรฐานสากลของ ISO ว่าด้วยขนาดกระดาษ ที่ใช้กันหลายประเทศในปัจจุบัน ซึ่งรวมไปถึงขนาดกระดาษที่คนรู้จักและนิยมใช้กันมากที่สุดคือ A4 มาตรฐานสากลนี้มีพื้นฐานมาจากสถาบันเยอรมันเพื่อการมาตรฐานแห่งประเทศเยอรมนี มาตรฐานรหัส 476 (DIN 476) ในปี พ.ศ. 2535

รูปแบบกระดาษชนิด A
รูปแบบกระดาษชนิด A มีอัตราส่วนสัมบูรณ์ 1 : √2 ซึ่งทอนทศนิยมให้ใกล้เคียงที่สุดในหน่วยมิลลิเมตร เริ่มตั้งแต่ A0 กำหนดไว้ว่ามีขนาด 1 ารางเมตร ซึ่งทำให้เกิดขนาดกระดาษขนาดอื่นตามมา (A1, A2, A3, ฯลฯ) ซึ่งขนาดที่นิยมใช้มากที่สุดคือ A4 (210 × 297 มม.)


ขนาดต่าง ๆ ใน
ISO 216
(มม × มม)
ชนิด A
A0 841 × 1189
A1 594 × 841
A2 420 × 594
A3 297 × 420
A4 210 × 297
A5 148 × 210
A6 105 × 148
A7 74 × 105
A8 52 × 74
A9 37 × 52
A10 26 × 37

ชนิด B
B0 1000 × 1414
B1 707 × 1000
B2 500 × 707
B3 353 × 500
B4 250 × 353
B5 176 × 250
B6 125 × 176
B7 88 × 125
B8 62 × 88
B9 44 × 62
B10 31 × 44

แถมให้อีกหน่อย

ขนาดต่าง ๆ ใน
ISO 269
(มม × มม)
ชนิด C
C0 917 × 1297
C1 648 × 917
C2 458 × 648
C3 324 × 458
C4 229 × 324
C5 162 × 229
C6 114 × 162
C7/6 81 × 162
C7 81 × 114
C8 57 × 81
C9 40 × 57
C10 28 × 40
DL 110 × 220

ความแตกต่างระหว่างชนิด A, B, C
ขนาดกระดาษตามมาตรฐาน ISO/DIN ในขนาด มิลลิเมตร และ นิ้ว









ขนาดของเครื่องพิมพ์ offset

ครื่องพิมพ์ออฟเซ็ท โดยทั่วไปมีหลักการเดียวกัน คือ ประกอบด้วยโมแม่พิมพ์ โมยางและโมพิมพ์ ที่โมแม่พิมพ์จะมีระบบการให้น้ำและต่อเพลทอยู่ การถ่ายทอดภาพ เกิดจากโมแม่พิมพ์ได้รับหมึก แล้วถ่ายทอดภาพให้โมยาง จากนั้นโมยางจึงถ่ายทอดภาพให้กับกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ ในการถ่ายทอดภาพจากโมหนึ่งไปยังโมหนึ่งจะต้องใช้แรงกดน้อยที่สุด

ออฟเซ็ทเล็ก
เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก พิมพ์กระดาษได้ขนาด 10 * 15 นิ้ว ถึงขนาด 13 * 17 นิ้วโดยประมาณ เครื่องชนิดนี้มีอุปกรณ์ประกอบในการทำงานน้อยไม่ยุ่งยาก ใช้ง่าย เหมาะสำหรับงานพิมพ์ขนาดเล็ก เช่น หัวจดหมาย หนังสือเวียนแผ่น โฆษณาเผยแพร่เล็ก ๆ ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์สอดสี หรือ สี่สี เพราระบบฉากยังไม่มีความเที่ยงตรงดีพอ



ขนาดตัดสี่
เป็นเครื่องพิมพ์ที่ขนาดใหญ่กว่าออฟเซ็ดเล็ก สามารถพิมพ์ได้ขนาดประมาณ 15 * 21 นิ้ว หรือ 18 * 25 นิ้ว มีอุปกรณืช่วยในการพิมพ์มากขึ้นและระบบน้ำดีขึ้นกว่า สามารถพิมพ์งานได้เกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสีเดียวหรือหลายสีก็ตาม เหมาะสำหรับพิมพ์หนังสือยกเป็นเล่ม ภาพโปสเตอร์ขนาดกลาง งานพิมพ์ทั่วไป และงานพิมพ์ที่มีจำนวนพิมพ์ไม่มากนัก เช่น ครั้งละไม่เกิน 5,000 ชุด ถ้าเป็นการพิมพ์จำนวนมาก ๆ แล้ว จะเป็นการเสียเวลา เพราะมีขนาดเล็ก ไม่สามารถลงพิมพ์ได้คราวละหลาย ๆ แบบได้ เครื่องพิพม์ขนาดนี้นิยมใช้ทั่วไปในท้องตลาด ถ้าพิมพ์หนังสือยก จะพิมพ์ขนาด 8 หน้ายกได้ ทั้งนี้แล้วแต่ขนาดของเครื่องพิพม์ การที่เรียกเครื่องพิมพ์ขนาดตัดสี่นั้น เพราะใช้กระดาษขนาด 15.5 * 21.5 นิ้ว ที่เกิดจากการแบ่งกระดาษขนาดใหญ่ 31 * 43 นิ้ว เป็นสี่ส่วนได้พอดี ซึ่งเมื่อนำกระดาษขนาดนี้ไปพิมพ์และพับเป็นเล่มแล้ว จะได้หนังสือที่มีขนาดเล็กเรียกว่า 8 หน้ายก



ขนาดตัดสอง
เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดที่ใหญ่กว่าขนาดตัดสี่เกือบเท่าตัว กล่าวคือ สามารถพิมพ์ได้ 25 * 36 นิ้ว หรือบางแม่พิมพ์ สามารถพิมพ์ขนาด 28 * 40 นิ้วได้ เหมาะสำหรับใช้พิพม์งานทางการค้าทั่วไป เช่น หนังสือยก โปสเตอร์ขนาดใหญ่ แผ่นโฆษณา และงานพิมพ์ทุกชนิด เนื่องสามารถพิมพ์ได้ขนาดใหญ่ จึงสามารถลงแบบที่จะพิมพ์ได้คราวละหลาย ๆ แบบ และสามารถตัดซอยเป็นแบบที่ต้องการได้ภายหลัง ทำให้ประหยัดเวลาในการพิมพ์ เป็นเครื่องพิมพ์ขนาดที่นิยมใช้กันทั่วไป มีอุปกรณ์ประกอบในการช่วยพิมพ์ดีฉากพิมพ์แม่นยำ และความเร็วสูง



ขนาดตัดหนึ่ง
เป็นเครื่องพิมพ์ ชนิดป้อนแผ่นขนาดใหญ่ที่สามารถ พิมพ์กระดาษ 30 * 40 นิ้ว หรือโตกว่าได้ มีอุปกรณ์ช่วยในการพิมพ์มากขึ้น ส่วนมากใช้ในการพิมพ์หนังสือ โปสเตอร์ และบรรจุภัณฑ์ ที่มีปริมาณการพิมพ์มาก ๆ มีใช้น้อยกว่าขนาดสี่ตัด และขนาดสองตัด ในปัจจุบันจัดได้ว่าระบบการพิมพ์ ออฟเซ็ต เป็นระบบงานพิมพ์ที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้คุณภาพของงานพิมพ์ที่สูง และราคาไม่สูงมาก เหมาะสำหรับใช้พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ทั้งหนังสือที่ต้องการสีเดียวและสี่สี

หลักในการพิมพ์ offset (Offset Printing)

ลักของการพิมพ์ offset คือ น้ำกับน้ำมันจะไม่รวมตัวกันซึ่งบนแผ่นแม่พิมพ์จะมีทั้งสอง ส่วนคือ บริเวณที่ไม่มีภาพก็จะเป็นที่รับน้ำและในส่วนที่มีภาพก็จะเป็นสารเคมีที่เป็นพวกเดียวกับหมึก

หน้าที่ของบริเวณทั้งสองของแม่พิมพ์
1. ส่วนที่ไร้ภาพและรับน้ำ จะทำหน้าที่ในการรับน้ำหรือความชื้น และผลักดันหมึกให้ออกนอกบริเวณ
2. ส่วนที่เป็นภาพจะทำหน้าที่รับหมึกและผลักดันน้ำมันออกนอกบริเวณของตน ซึ่งในแต่ละส่วนจะทำหน้าที่ ๆ แตกต่างกัน



หลักในการถ่ายทอดภาพของเครื่องพิมพ์ออฟเซต
ออฟเซตเป็นระบบการพิมพ์พื้นฐานทั่วไปในระบบ 3 โม คือ
1. โมแม่พิมพ์
2. โมผ้ายาง
3. โมแรงกด
พร้อมด้วยระบบทำความชื้นและระบบการจ่ายหมึกให้แก่แม่พิมพ์ เมื่อมีการเคลื่อนไหว แม่พิมพ์จะหมุนไปรับน้ำ หรือ ความชื้น แล้วจึงหมุนไปรับน้ำ แล้วจึงไปรับหมึก เมื่อแม่พิมพ์รับหมึกในบริเวณภาพ แล้วจะหมุนลงไปถ่ายโอนไปให้โมผ้ายาง แล้วจึงถ่ายลงวัสดุพิมพ์ โดยมีโมกดพิมพ์รองรับอยู่ เป็นระบบการพิมพ์ทางอ้อม

ประโยชน์ของการพิมพ์ทางอ้อม
1. ในการพิมพ์ภาพลงสู่ผ้ายาง ผิวของผ้ายางมีความอ่อนนุ่ม จึงสามารถแนบกระชับกับผิวของของกระดาษที่เป็นแอ่งและขรุขระได้ดี
2. ผ้ายางจะไม่ทำให้ตัวของแม่พิมพ์ชำรุด เหมือนกับการพิมพ์ทางตรง
3. สะดวกในการตรวจสอบความถูกต้องของภาพ และข้อความบนแม่พิมพ์เพราะเป็นตัวตรง ไม่ใช่ตัวกลับอย่าง เลตเตอร์เพลส ซึ่งตรวจสอบได้ยาก

Color Mode : โหมดสี








โหมดสี RGB คืออะไร
ย่อมาจาก Red Green Blue แสงสีขาวจากธรรมชาติหรือแสงจากดวงอาทิตย์ เกิดจากการผสมสีของแม่สีสามสีคือ แดง เขียวและน้ำเงิน ซึ่งเหมือนกับสีที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งโหมดสี RGB นี้ เหมาะสำหรับการนำภาพไปเป็น ฟิล์มสไลด์/เนกาตีฟ

โหมดสี CMYK คืออะไร

ย่อ มาจาก Cyan Megenta Yellow Black เป็นลักษณะโหมดสีที่ใช้ในการสิ่งพิมพ์ ระบบสี CMYK เป็นระบบสีที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ CMYK ย่อมาจาก cyan (ฟ้าอมเขียว) magenta (แดงอมม่วง) yellow (เหลือง) key (ดำ) ซึ่งเป็นชื่อสีที่นำมาใช้ การผสมสีทั้งสี่นี้ จะทำให้เกิดสีได้อีกหลายร้อยสี นำมาใช้ในการพิมพ์สีต่าง ๆ

โหมดสี Index คืออะไร
โหมด สีที่เหมาะสำหรับการทำภาพบน web โดยจะมีความละเอียดของสีไม่เกิน 256 สี ทุกครั้งที่คุณแปลงภาพจากโหมดสีอื่นๆ มาเป็น Index โปรแกรมจะทำการตรวจสอบรหัสสีที่ได้ โดยถ้าค่าสีใดไม่มีจะถูกแปลงเป็นสีใกล้เคียงให้อัตโนมัติ ดังนั้นภาพที่ได้จะให้ความสวยงามที่ใกล้เคียงของเดิม และทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงด้วย

คืออยากรู้ว่าค่าสี RGB, CMYK, La*b* ,XYZ และ xyz ต่างกันยังไง แล้วมันคืออะไร

ค่าสี RGB และ CMY(K) เป็นค่าสีที่ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ เช่นถ้าเป็น RGB ค่าสีก็จะขึ้นอยู่กับอุปรณ์ประเภท
จอมอนิเตอร์ โปรเจคเตอร์ ที่แสดงสีจากหลอดภาพแสงRGB ซึ่งถูกกำหนดค่าให้เป็น 0-255 ถ้าเป็น CMKY
ก็จะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ประเภทปริ๊นเตอร์หรือ เครื่องพิมพ์ สีที่เกิดขึ้น มาจากจุดสีที่ มาก-น้อย
ของหมึกพิมพ์ สามารถวัดค่าได้ผ่านฟิลเตอร์เป็นค่าdensity 0-100

สำหรับค่าสี XYZ เป็นค่าสีกลางที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ (เกิดจากการทดลองของ International Commission on Illumination (Commission Internationale d'Eclairage, hence its CIE initialism))
เป็นฟังก์ชั่นที่ตอบสนองต่อการรับรู้ของตามนุษย์ และค่าสี XYZ ก็จะถูกคำนวณให้เป็น Lab

เคยสังเกตุมั้ยว่า ทำไมสีดำ (K) ของหมึกพิมพ์ InkJet ถึงไม่ดำสนิท
ใน งานพวกสิ่งพิมพ์ การเกิดสี เกิดจากการผสมสี ทั้งหมด 4 สี ถึงจะเกิดภาพทุกสี ซึ่งก็คือ CMYK และหน้าที่ของ K เวลาผสมสีในงานสิ่งพิมพ์ ก็คือ ทำให้ภาพชัดขึ้น และมีมิติ ในกรณีที่ K เป็นดำสนิทแล้ว เวลาผสมกับสีอื่น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผลของการผสมสีจะเป็นสีดำ ซึ่งถ้าดำสนิทแล้ว ผสมสีอื่นจะเป็นสีดำ ฉะนั้น K ในงานสิ่งพิมพ์จะไม่ดำสนิท ส่วนถ้าอยากให้พิมพ์เป็นสีดำ เครื่องพิมพ์ เทสี K ทั้งหมด ก็จะออกไม่ดำสนิท ฉะนั้น สีดำ ก็เกิดจากการผสมสีของ CMYK แต่จะมี K มากหน่อย อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลว่า (ส่วนตัวครับ) ในงานสิ่งพิมพ์แล้ว ทำไมไม่ใช้สัญญลักษณ์สีดำ ด้วย B ทำไมถึงใช้สีดำ ด้วย K ก็เพราะว่า มันไม่ดำสนิทนี่เอง

ที่มา
http://www.it-guides.com/lesson/pshop_04.html
http://th.wikipedia.org/wiki/ระบบสี_CMYK
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=ete30kmutt&id=339
http://inkmedias.blogspot.com/2007/09/k-inkjet.html

Spec Computer ที่ใช้ทำงาน

ารรอคอยนี่มันช่างทรมานจริง ๆ โดยเฉพาะตอนรอคอมฯ render ภาพงานที่หนัก ๆ ฉะนั้นประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งาน ต้องแรงในระดับหนึ่ง ปัจจุบันราคาก็ถูกลงมามาก ด้วยงบที่ไม่สูงนักก็ได้คอมดี ๆ แรง ๆ มาใช้แล้ว ส่วนจะมีงบเท่าไหร่ซื้อได้ในระดับไหน ลองดูข้อมูลดังต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจครับ

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ G27 บอร์ด HardcoreGraphic

--------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : คอมที่แนะนำมาใช้ Window เป็นระบบปฏิบัติการนะครับ ไม่ขอแนะนำ Mac เพราะว่า
Mac มันประกอบตามใจชอบไม่ได้ อีกอย่างอะไหล่ตามร้านทั่วไปก็ไม่มี
Update ราคาถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2551


เริ่มจากทำ Graphic Design งานสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย (ราคาไม่เกิน 15,000 บาท)
เช่น ประกอบหนังสือ ทำป้าย นามบัตร ปกสมุด เขียนภาพประกอบ
อยากจะแนะนำครับว่าไม่ต้องใช้ VGA Card ที่ทรงพลังนักหรอก ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร...
Spec ที่เลือกมา รองรับการ Upgrade ใหม่ 2 ปีครับ

สำหรับงานออฟฟิศ ออกแบบบ้างปะปราย
ค่าย Intel
CPU : Intel Core2Duo E2200 2.20 Ghz 2,900.-
Mainborad : Gigabyte G33M S2L 2,670.-
Memory : 1024/667 KINGSTON 800.-
Harddisk : Maxtor 160 G SATA2 Serial ATA2 2,800.-
VGA : GigaByte GF7200GS 1,700.-
Rom : Lite-On DVD+-R/RW 20x 1,000.-
รวม 11,870.-

ค่าย AMD
CPU : AMD Ath.X2 AM2 4200+ 2.5 GHz 2,480.-
Mainborad : ASUS M2์N 2,400.-
Memory : 1024/667 KINGSTON 800.-
Harddisk : Maxtor 160 G SATA2 Serial ATA2 2,800.-
VGA : GigaByte GF7200GS 1,700.-
Rom : Lite-On DVD+-R/RW 20x 1,000.-
รวม 11,180.-


ต่อมาทำคอมพิวเตอร์ระดับการทำงาน 3D หนัก ใช้การ Render อย่างแรง
ตัดต่อหนัง ทำ DVD สารพัด สารเพ 5555+
จุดนี้อยากให้ทุ่มไปที่ CPU มากเลยนะครับ เพราะมันต้องใช้ในการประมวลผลสูง
สำหรับนักเล่นเกม และทำงานสามมิติ
ค่าย Intel
CPU : Core2 Quad Q6600 2.4 Ghz 8,500.-
Mainborad : Asus P5Q-E 5,630.-
Memory : KingSton 1GB 800MHz DDR2 X3 2,400.-
Harddisk : Seagate ST3500320AS 500 GB 32MB 3,570.-
VGA : ESC GeForce 9800GTX 10,900.-
Rom : Lite-On DVD+-R/RW 20x 1,000.-
รวม 32,000.-

ค่าย AMD
CPU : AMD Phenom 9600 2.3GHz 9,500.-
Mainborad : ASUS M3A32-MVP Deluxe 7,190.-
Memory : KingSton 1GB 800MHz DDR2 X3 2,400.-
Harddisk : Seagate ST3500320AS500 GB 32MB 3,570.-
VGA : ESC GeForce 9800GTX 10,900.-
Rom : Lite-On DVD+-R/RW 20x 1,000.-
รวม 34,560.-

สุดท้ายคอมพิวเตอร์ระดับ Hi-End ผมมีแต่ Intel น่ะ
จริงๆผมชอบ AMD มากกว่าเป็นการส่วนตัวนะ มัน OC ได้เยอะกว่า
มีปัญญาซื้อจริงๆ ก็อย่าซื้อเลยครับ มันสำหรับเป็นเครื่องแม่ข่ายมากกว่า 555+
สำหรับ Hi-End พวกเหลือรับประทาน ที่ทำงาน 3D และตัดต่อหนัง หรือระดับโคตร Server
ค่าย Intel
CPU : Intel Core2 Extreme QX9770 3.20 Ghz X 52,900.-
Mainborad : Asus Striker II Extreme 16,900.-
Memory : Corsair 2048 Twin PC8600 X2 26,500.- (8 GB)
Harddisk : Western WD10EACS 1TB SATA II X2 (Raid 0) 15,800.- (2 TB)
VGA : NVdia Quadro FX 5600 1.5 GB X2 189,000.-
Rom : LG 20X [GAS-E60L] 2,450.-
Sound : Creative Gigaworks THX 7.1 16,900.-
PSU : Coolermaster RP M1000 10,590.-
รวม 331,040.-

--------------------------------------------------------------------------------
งบ 50,000 บาท ไม่รวมจอ หรืออุปกรณ์อื่นนอกจากตัว Case อย่างเดียว...ตอบเหมือนในหนังสือคอมเลย 555+

ใจ ก็อยากให้ซื้อ Mac นะครับ แต่ว่ามันแรงได้ไม่เท่า 555+ ผมมีโอกาสได้เจอเรื่อง Render อยู่เหมือนกัน คือน้องของเพื่อนเขาเรียน Multimedia ที่ มจธ. ทำ 3D Animation 3 นาที เขาบอกว่า Render ไป 29 ชม. ใช้ Spec เครื่องน้องๆที่ผมแนะนำไปน่ะครับที่อยู่ราคา 29,000 กว่าๆน่ะ แต่เปลี่ยน Core 2 Duo 2.4 Ghz

ผมว่ามันโหดจริงๆนะงานอย่างนี้ ผมก็เอาไปนอนคิดทั้งคืน 555+ ลองดูนะครับ

CPU : Intel Core 2 quad Q9350 Yorkfield 2.66 Ghz /
1333MHz / 12 MB / LGA775 ,Part# BX80569Q9450 12,350 บาท

MB : ASUS Striker II Formula LGA 775
NVIDIA nForce 780i SLI ATX Intel Motherboard 11,390 บาท

Ram : Corsair TWIN XMS 2GB (2*1GB/800Mhz) 240-Pin
DDR2 SDRAM DDR2 800 (PC2 6400) Dual Channel Kit X2 4,560 บาท

HD : Seagate ST3500320AS Barracuda 7200.11
SATA 3Gb/s NCQ 500 GB 32MB Cache Hard Drive 3,570 บาท

VGA : ASUS VGA EN9600GT/HTDI/512M
GeForce 9600GT 512MB 256-bit
GDDR3 PCI Express 2.0 x16 HDCP Ready SLI Supported 12,400 บาท

DVD : LG GH22LP 22X Super Multi + Light Scribe ,
Secure Disc IDE 22X (box) Black Color 1,090 บาท

UPS : D-get UPS 800VA White Color 1,730 บาท
รวม 47,090 บาท

สเป็คที่ว่ามา ก็คงแรงกว่าน้องคนนั้นประมาณ 2-3 เท่าน่ะครับ (วัดจาก CPU และ MB)
ด้วย CPU 4 แกน สัญญาณถึง 2.66 พร้อมแคชมหาศาลอีก 12 MB แม่เจ้าไม่อยากคิด จากนั้นก็มาที่ MB สุดแรงของ ASUS ใช้ Chipset ของ NVdia FSB 1333 รองรับถึง DDR3 (ถึงป่าววะ) แต่ก็ยังไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น พร้อม Sink ระบายความร้อนขนาดใหญ่ รองรับความเร็วอย่างเต็มที่

มาดูที่ Memory หรือ Ram กันบ้าง ผมใช้ Ram แถวละ 1 GB นะครับ รวมกัน 4 แถว มันเป็นเทคนิคการต่อ รวมทั้งการสนับสนุนการต่ออย่างนี้ของตัวสินค้า มันจะได้ออกมาแรงกว่า Ram 2 GB 2 แถวน่ะครับ พร้อม Bus อีก 800 พระเจ้า จากนั้นมาที่เรื่อง HD ที่ใช้ SATA ก็คงจะรู้ว่ามันเร็วกว่าเดิมนะครับ Buffer ขนาด 12 MB (คอมที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ 2 MB) ขนาดความจุที่ 500 GB ครับ

ใน ส่วนสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ VGA Card ที่ใช้ระบบ SLi ในการต่อ (ต่อ 2 ตัวพร้อมกัน) รวมๆกันแล้ว Core Clock ของทั้งคู่จะอยู่ประมาณ 1.3 Ghz Memory อยู่ที่ 1 GB มหาศาลพอดู 555+

ก็แค่นี้แหละครับ ราคาจริงทั้งหมดผมคิดว่าน่าจะ Drop ลงไปอีกสัก 3,000-4,000 น่ะครับ

เหมาะสำหรับเล่นเกมด้วยนะครับ 555+

--------------------------------------------------------------------------------

ากจะซื้อกันจริง ๆ ให้ศึกษาราคาและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ Update ที่สุด เผื่อจะได้ประหยัดงบหรือได้เครื่องที่แรงกว่าที่แนะนำไป ลองเช็คดูตามบอร์ดคอมต่าง ๆ ดูนะครับ search ดูใน google นี่แหละ

Dogs Photo

Graphic Worlds Prologue

วามตั้งใจที่ถือว่าเป็นจุดหมายอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผม คือการแบ่งปันสิ่งที่รู้ที่เห็นมาจากการทำงานที่ผ่านๆ มา ให้ก่อประโยชน์ต่อคนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการจดบันทึกของตัวเองไปในตัวด้วยครับ

สำหรับเนื้อหาในนี้ จะกล่าวถึงความรู้ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากหลายแหล่ง และจากการทำงานจริง ทั้งเทคนิค วิธีการ แนวความคิด และการต่อยอด ของงาน Graphic Design ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริง (จะหนักไปทางสื่อสิ่งพิมพ์หน่อยนะครับ เนื่องจากตัวผมเองทำงานทางด้านนี้)

ที่ผ่านมารู้สึกเสียดายเวลาเป็นอย่างมาก ที่มัวแต่อ้างกับตัวเองว่าไม่มีเวลาจะทำ ดังนั้นจากนี้ไปการอัพเดทข้อมูลเป็นประจำ และต่อเติมโครงการนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นบททดสอบและการพิสูจน์ตัวเอง รวมถึงการพัฒนาความสามารถของตนเองไปพร้อมๆ กับทุกคนที่ให้เกียรติแวะเข้ามาในโลกเล็กๆ ใบนี้ครับ